Cathodic Protection

การป้องกันการกัดกร่อนโดยระบบแคโทดิก

การป้องกันการกัดกร่อนโดยระบบแคโทดิก คือระบบเพื่อปกป้องวัตถุ เช่นเหล็กที่ฝังอยู่ในดินหรือน้ำจากการกัดกร่อน จะใช้การป้องกันแบบแคโทดิก (Cathodic protection, CP) โดยการจ่ายกระแสไฟตรงไปยังเหล็กเพื่อทำให้ศักย์ไฟฟ้าลดลง ซึ่งศักย์ที่ลดลงนี้จะช่วยชะลอกระบวนการกัดกร่อนได้

Article Cathodic Protection

ถึงแม้ว่าเหล็กหรือโลหะจะมีจุดด้อยที่มีโอกาสเกิดสนิมได้ แต่คุณสมบัติที่ดี คือความแข็งแรงทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน เหมาะกับการนำมาใช้เป็นโครงสร้างหรือชิ้นส่วนสำคัญในงานต่างๆ นิยมใช้กันอยู่กระทั่งปัจจุบัน ดังนั้นการหาวิธีป้องกันสนิม จึงถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการหาวัสดุใหม่มาใช้เสียอีก

การป้องกันการกัดกร่อนแบบ Cathodic

  1. การป้องกันแบบแคโทดิกทำงานโดยการป้องกันไม่ให้ออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการกัดกร่อน เมื่อโลหะเกิดออกซิเดชัน อะตอมของโลหะจะกลายเป็นออกไซด์
  2. อิเล็กตรอนจะไหลจากตำแหน่งที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังตำแหน่งที่มีศักย์ต่ำกว่า
  3. การป้องกันแบบแคโทดิกจะกำจัดความต่างศักย์นี้ ทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลได้ และกระบวนการออกซิเดชันจึงไม่เกิดขึ้น นี่คือวิธีที่ช่วยป้องกันการกัดกร่อน

Sacrificial Anode คือ โลหะกันกร่อน ติดตั้งเข้าไปใกล้กับบริเวณโลหะที่ใช้งานหลัก เพื่อแลกเปลี่ยนประจุให้ส่วนโลหะหลักกลายเป็นแคโทด ส่วนโลหะกันกร่อนจะกลายเป็นแอโนด วิธีนี้เป็นการป้องกันการเกิดสนิมแบบแคโธดิค (Cathodic Protection) ที่ได้ความนิยม เพราะไม่ต้องใช้แหล่งกำเนิดไฟฟ้าจากภายนอก

Sacrifice หมายถึงเสียสละ ดังนั้น Sacrificial Anode หรือโลหะกันกร่อนจะกลายเป็นเหล็กที่ถูกกัดกร่อนแทน โดยปัจจุบันมี Sacrificial Anode ที่นิยมใช้งานอยู่ประมาณ 3 ตัว ด้วยกัน ได้แก่

  1. สังกะสีหรือซิงค์ (Zinc Anode) มีศักย์ไฟฟ้าสูง และความจุกระแสไฟฟ้าต่ำ ค่อนข้างเหมาะกับน้ำทะเล เช่น ผิวใต้ท้องเรือ ท่อน้ำมัน เป็นต้น
  2. อลูมิเนียม (Aluminium Anode) มีศักย์ไฟฟ้าปานกลาง และความจุกระแสไฟฟ้าสูง ค่อนข้างเหมาะกับน้ำทะเลและน้ำกร่อย มักใช้กับเรือที่มีการเดินทางไกล ข้ามน้ำ ข้ามทะเล
  3. แมกนีเซียม (Magnesium Anode) มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ และความจุกระแสไฟฟ้าปานกลาง ค่อนข้างเหมาะกับน้ำกร่อย ใต้ดิน

โลหะกันกร่อนแต่ละชนิดที่กล่าวมาจะเหมาะสมต่อการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป จะเลือกใช้งานโลหะกันกร่อนชนิดใด ก็จะประเมินโดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน

รูปแบบของการป้องกันการกัดกร่อนแบบ Cathodic

  1. แอโนดเสียสละตัวเอง (Self Sacrificial Anodes)
    Article Cathodic Protection

    Sacrificial Anodes ชิ้นส่วนโลหะที่เป็นโลหะพื้นฐานจะถูกเชื่อมต่อกับท่อที่ต้องการป้องกัน ชิ้นส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นแอโนด โดยปกติจะทำจากสังกะสี อะลูมิเนียม หรือแมกนีเซียม การเชื่อมต่อนี้จะสร้างกระแสไฟฟ้าป้องกันวัตถุเหล็ก โดยแอโนดจะถูกเสียสละแทนท่อเหล็ก

    Sacrificial Anodes ใช้แล้วหมดไป เมื่อถูกกัดจนหมดก็ป้องกันอะไรไม่ได้อีก ต้องติดตั้งตัวใหม่เข้าไปแทน แต่มีข้อดีคือแทบไม่ต้องบำรุงรักษา

    2. กระแสไฟฟ้าที่จ่ายจากแหล่งภายนอก (Impressed Current)

    Article Cathodic Protection

    เป็นกระแสไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานภายนอก ซึ่งระบบนี้เรียกว่า “ระบบการป้องกันแบบแคโทดิกด้วยกระแสไฟฟ้ากระตุ้น” (Impressed Current Cathodic Protection system, ICCP) โดยแหล่งกระแสไฟฟ้าภายนอกมักจะเป็นเครื่องเรียงกระแสไฟฟ้า (Rectifier) ที่ทำงานร่วมกับชิ้นส่วนโลหะพื้นฐาน

    ระบบ ICCP นั้นกระแสไฟฟ้าที่ใช้จะมาจากการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นกระแสตรงด้วย Rectifier ซึ่งระบบนี้จะมีความเหมาะสมในการป้องกันสนิมให้กับโครงสร้างโลหะที่ต้องการกระแสไฟฟ้าปริมาณมาก สภาพแวดล้อมที่มีความต้านทานสูง ปกติจะใช้กับท่อที่ฝังอยู่ใต้ดินเช่นท่อส่งก๊าซ ท่อส่งน้ำมันหรือในในโรงงานปิโตรเคมี จะเป็นท่อใต้ดิน เช่น ท่อน้ำ หล่อเย็น ท่อน้ำดับเพลิง โดยปกติจะมีการเครือบท่อด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการกัดกร่อน

    การประยุกต์ใช้งาน

    • ป้องกันการกัดกร่อนของท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ทั้งในดินและในทะเล 
    • ป้องกันการกัดกร่อนของโครงสร้างเหล็กในคอนกรีต 
    • ป้องกันการกัดกร่อนของเรือและท่าเทียบเรือ 
    • ป้องกันการกัดกร่อนของถังเก็บน้ำมันและสารเคมี 

    ข้อดี

    • สามารถป้องกันการกัดกร่อนได้ในสภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย 
    • สามารถป้องกันการกัดกร่อนได้แม้ในบริเวณที่สารเคลือบป้องกันชำรุด 
    • สามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมโครงสร้างโลหะในระยะยาวได้

    ข้อจำกัด

    • ต้องมีการออกแบบและติดตั้งระบบป้องกันแคโทดิกอย่างถูกต้อง
    • ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ
    • อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในบางสภาวะแวดล้อม 
    • การป้องกันสนิมแบบแคโทดิก เป็นการป้องกันสนิมโดยการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแหล่งกำเนิดภายนอก คือ โลหะกันกร่อน (Sacrificial Anodes) หรือ Rectifier เพื่อบังคับให้ศักย์ไฟฟ้าของโลหะซึ่งปกติจะอยู่ในย่านกัดกร่อน (เกิดสนิม) ลดต่ำลงจนเข้าสู่ย่าน Stable หรือ Immunity ซึ่งจะทำให้โลหะมีความต้านทานต่อการเกิดสนิมแม้จะจุ่มแช่อยู่ในสารกัดกร่อนโดยไม่ได้ทำการเคลือบผิวเลยก็ตาม แต่ปกติแล้วการป้องกันแบบแคโทดิกมักจะใช้ร่วมกับการเคลือบผิวเพื่อลดความสิ้นเปลืองกระแสที่ใช้ในการป้องกันสนิมให้น้อยลง
    • ระบบการป้องกันสนิมแบบแคโทดิกนั้นสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบและหลายสภาวะ เช่น ในน้ำ ในดิน และในคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยเฉพาะโลหะกันกร่อน นั้นมีความยืดหยุ่นและสะดวกในการใช้งาน เพราะหลังจากออกแบบและติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาเหมือนการใช้ Rectifier และสามารถวางแผนเพื่อเปลี่ยนโลหะกันกร่อนได้ตามวงรอบการใช้งาน สำหรับโลหะที่สามารถใช้เป็นโลหะกันกร่อนได้นั้นสามารถพิจารณาได้จากตารางลำดับชั้นของโลหะ และในปัจจุบันโลหะกันกร่อนที่นิยมใช้งานมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ สังกะสี อลูมิเนียม และแมกนีเซียม

    ตัวอย่างวิธีแคโทดิก 

    โครงสร้างเหล็กที่อยู่ภายใต้น้ำทะเล ปกติจะเป็นแอโนด มีสภาพแวดล้อมรอบๆ เป็นแคโทด มีเกลือทะเลเป็นสารเคมีทำปฏิกิริยา ทำให้เหล็กเสียประจุให้กับน้ำทะเล และภายในเนื้อเหล็กเองที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบแต่ดันมีประจุไฟฟ้ามากกว่าเหล็กทั้งชิ้นทำให้เกิดโอกาสกัดกร่อนในตัวเองได้อยู่แล้ว ยิ่งนำไปไว้ใต้น้ำหรือน้ำทะเลที่เป็นตัวนำไฟฟ้ายิ่งเกิดการถ่ายประจุระหว่างเหล็กกับคาร์บอนจนเกิดการกร่อน เพราะฉะนั้นจะต้องหาตัวช่วยเพื่อให้โครงสร้างเหล็กที่อยู่ใต้น้ำเปลี่ยนจากแอโนดเป็นแคโทด ด้วยการหา Sacrificial Anode มาปรับความต่างศักย์ให้เหล็กเหล่านั้นกลายเป็นแคโทดป้องกันการกัดกร่อน

    การทำ Cathodic Protection ที่มีประสิทธิภาพจะต้องระวังในเรื่องของการกำหนดส่วนประกอบของสารเคมีในอีเลคโตรไลท์ กับการเลือกโลหะกันกร่อนไปใช้งานไม่เหมาะสม รวมถึงวิธีการทำแคโทดิกให้ตอบโจทย์กับน้ำทะเล น้ำจืด น้ำกร่อย หรือใต้ดิน เพราะอาจเกิดฟิล์มที่ผิวโลหะ ยากจะส่งกระแสไฟฟ้าไปป้องกันการกัดกร่อน

    ขั้นตอนการติดตั้ง Cathodic Protection

    1. พิจารณาวัสดุที่จะใช้

        ก่อนที่จะเริ่มติดตั้ง จำเป็นที่จะต้องตรวจเช็คข้อมูลและพิจารณาก่อนว่า เหล็กหรือโลหะที่เราจะใช้วิธีแคโทดิก จะนำไปตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นแบบไหน เช่น น้ำทะเล น้ำกร่อย น้ำจืด ใต้ดิน เป็นต้น แล้วดูว่า มีขนาดน้ำหนักเท่าไหร่ เพื่อนำไปคำนวณปริมาณโลหะกันกร่อนที่จะนำมาติดตั้งต่อไป โดยส่วนใหญ่แนะนำที่ 7-10% ของน้ำหนักเหล็กที่เป็นตัวหลักทั้งหมด

    1. ติดตั้ง Sacrificial Anode

        เมื่อเลือกวัสดุที่จะใช้เป็น Sacrificial Anode ได้แล้ว จากนั้นก็จะนำไปติดตั้งด้วยการวางในตำแหน่งที่เหมาะสม หาอุปกรณ์มายึดให้แน่น หากบริเวณนั้นเป็นสนิมให้ขัดทำความสะอาดเอาผิวที่เป็นสนิมออกก่อนแล้วค่อยติดตั้ง หลังติดตั้งต้องวัดความต้านทานเพื่อตรวจเช็คอีกครั้ง โดยปกติแล้ว เพื่อให้กระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ดี แนะนำให้มีค่าอยู่ที่ต่ำกว่าหนึ่งโอห์ม

    การกัดกร่อนของโลหะที่ถูกติดตั้งใต้ดินสัมผัสดินหรือน้ำซึ่งเป็นอิเล็กโทรไลต์ เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งการเคลือบท่อที่ดีสามารถป้องกันการกัดกร่อนได้ 95-99% การติดตั้งระบบ Cathodic protection จะช่วยเพิ่มการป้องกันการกัดกร่อนอีก 1-5 % เมื่อรวมทั้ง 2 ระบบ จะสามารถป้องกันการกัดกร่อนที่จะเกิดได้ 100% แต่ต้องมีการออกแบบอย่างเหมาะสม และมีการบำรุงรักษาตรวจสอบที่ดี และอุปกรณ์ที่เราติดตั้งระบบป้องกันไว้มีอายุการใช้งานตามที่ออกแบบไว้

    หลังจากติดตั้งเรียบร้อยแล้ว การตรวจเช็คและวางแผนซ่อมบำรุงตัวโลหะกัดกร่อน หรือ Sacrificial Anode ทุก 10-20 ปี เพื่อให้การทำงานป้องกันการกัดกร่อนหรือการเกิดสนิมมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง