ซับเมอร์สิบึลปั๊ม หรือปั๊มจุ่ม หรือปั๊มแช่ หรือปั๊มไดโว่

ปั๊มแช่ หรือปั๊มจุ่ม หรือ Submersible pump หรือ ปั๊มแช่ไฟฟ้า (Electric Submersible Pump: ESP) คืออุปกรณ์ที่ประกอบด้วย มอเตอร์ที่ผนึกแน่นสนิท ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับตัวปั๊ม ทั้งชุดถูกออกแบบมาให้จุ่มอยู่ในของเหลวที่ต้องการสูบโดยตรง ปั๊มแช่ถูกวิศวกรรมมาเพื่อทำงานใต้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีหน้าที่ในการส่งของเหลวขึ้นสู่ผิวน้ำ
ในปี 1928 Armais Arutunoff ประดิษฐ์ปั๊มจุ่มตัวแรก เขาเป็นวิศวกรในระบบขนส่งน้ำมันของอาร์เมเนีย การออกแบบปั๊มนี้ทำโดย Pleuger Pumps ในปี 1929 ปั๊มเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดโพรงอากาศ (Cavitation) ในปั๊มได้ มีการใช้งานปั๊มจุ่มหลายประเภทในอุตสาหกรรมต่างๆ
การทำงานของปั๊มจุ่ม
ปั๊มจุ่มจะทำงานแตกต่างจากปั๊มเจ็ทเล็กน้อย เนื่องจากปั๊มเจ็ทจะถ่ายโอนของเหลวโดยการดึง ในขณะที่ปั๊มจุ่มจะถ่ายโอนของเหลวโดยการผลัก ปั๊มน้ำจุ่มเป็นเครื่องจักรที่เชื่อมต่อกับมอเตอร์ที่ปิดสนิท เป็นปั๊มหอยโข่งชนิดหนึ่ง ดังนั้นการทำงานของปั๊มจึงคล้ายคลึงกับปั๊มหอยโข่งชนิดอื่นๆ มาก ปั๊มจุ่มจะจุ่มลงในน้ำทั้งหมด ในระหว่างการทำงานของปั๊มน้ำจุ่ม จะผลักน้ำไปที่ผิวน้ำ เมื่อน้ำจากบ่อน้ำหรืออ่างเก็บน้ำไหลเข้าสู่ปั๊มโดยวาล์วเท้า ก็จะกระทบใบพัด ใบพัดเป็นหน่วยหมุนที่มีใบพัดคงที่หลายใบ ใบพัดนี้เชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้าผ่านเพลา ใบพัดจะหมุนตามการหมุนของเพลา เมื่อน้ำกระทบใบพัดของใบพัด ใบพัดจะแปลงพลังงานจลน์ของน้ำให้เป็นความเร็วและเพิ่มความเร็วของน้ำ หลังจากผ่านใบพัดแล้ว น้ำจะเข้าสู่ตัวกระจาย ซึ่งจะแปลงความเร็วของน้ำให้เป็นพลังงานแรงดัน ด้วยวิธีนี้ ตัวกระจายจะเพิ่มแรงดันของน้ำตามที่ต้องการ หลังจากนั้น น้ำที่มีแรงดันจะระบายออกทางวาล์วทางออกของปั๊ม ด้วยวิธีนี้ ปั๊มจุ่มจะดันน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ
รูปแสดงประเภทของปั๊มจุ่ม

ปั๊มจุ่มแตกต่างจากปั๊มทั่วไปที่วางไว้เหนือพื้นดิน ปั๊มแช่ถูกออกแบบให้จุ่มอยู่ในของเหลวที่ต้องการสูบโดยตรง การออกแบบในลักษณะนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้แรงดูดเพื่อดึงของเหลวเข้าไปในปั๊ม แต่จะใช้แรงดันจากใบพัด (Impellers) และมอเตอร์ที่ผนึกแน่นเพื่อ ดัน ของเหลวขึ้นสู่ผิวน้ำ
ปั๊มจุ่มมีหลายประเภทซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในถังและบ่อน้ำประเภทต่างๆ ประเภทของปั๊มจุ่ม มีดังต่อไปนี้
- ปั๊มน้ำบาดาล
- ปั๊มสแตนเลส
- ปั๊มดูดจากด้านล่าง
- ปั๊มเติมน้ำมัน
- ปั๊มน้ำเครื่องทำน้ำเย็น
- ปั๊มจุ่มน้ำ
- ปั๊มไหลผสมและไหลตามแนวแกน
- ปั๊มจุ่มครอมป์ตัน
ตัวอย่างการใข้งานปั๊มจุ่ม

ตัวอย่างปั๊มจุ่มแบบดูดน้ำบาดาล

การทำงานของปั๊มจุ่ม
ปั๊มจุ่มจะทำงานแตกต่างจากปั๊มเจ็ทเล็กน้อย เนื่องจากปั๊มเจ็ทจะถ่ายโอนของเหลวโดยการดึง ในขณะที่ปั๊มจุ่มจะถ่ายโอนของเหลวโดยการผลัก ปั๊มน้ำจุ่มเป็นเครื่องจักรที่เชื่อมต่อกับมอเตอร์ที่ปิดสนิท เป็นปั๊มหอยโข่งชนิดหนึ่ง ดังนั้นการทำงานของปั๊มจึงคล้ายคลึงกับปั๊มหอยโข่งชนิดอื่นๆ มาก ปั๊มจุ่มจะจุ่มลงในน้ำทั้งหมด ในระหว่างการทำงานของปั๊มน้ำจุ่ม จะผลักน้ำไปที่ผิวน้ำ เมื่อน้ำจากบ่อน้ำหรืออ่างเก็บน้ำไหลเข้าสู่ปั๊มโดยวาล์วเท้า ก็จะกระทบใบพัด ใบพัดเป็นหน่วยหมุนที่มีใบพัดคงที่หลายใบ ใบพัดนี้เชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้าผ่านเพลา ใบพัดจะหมุนตามการหมุนของเพลา เมื่อน้ำกระทบใบพัดของใบพัด ใบพัดจะแปลงพลังงานจลน์ของน้ำให้เป็นความเร็วและเพิ่มความเร็วของน้ำ หลังจากผ่านใบพัดแล้ว น้ำจะเข้าสู่ตัวกระจาย ซึ่งจะแปลงความเร็วของน้ำให้เป็นพลังงานแรงดัน ด้วยวิธีนี้ ตัวกระจายจะเพิ่มแรงดันของน้ำตามที่ต้องการ หลังจากนั้น น้ำที่มีแรงดันจะระบายออกทางวาล์วทางออกของปั๊ม ด้วยวิธีนี้ ปั๊มจุ่มจะดันน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ
ปั๊มจุ่ม หรือ Submersible Pump นี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของปั๊มหอยโข่งเพราะมีการออกแบบโดยใช้หลักการของแรงเหวี่ยงหนีศุนย์กลางเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันกับปั๊มหอยโข่ง สรุปโดยสังเขป 4 จุดดังนี้
1.ตำแหน่งการใช้งาน ปั๊มหอยโข่งต้องติดตั้งใช้งานบนบกเท่านั้น ในทางกลับกันปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ก็สามารถใช้งานได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้ต้องเลือกกันอย่างระมัดระวังนะครับเพราะปั๊มแต่ละประเภทก็มีข้อเสียแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน
2.การซ่อมบำรุง สำหรับเรื่องความเสียหาย ความถี่ในการซ่อมบำรุงของ Submersible Pump นั้นค่อนข้างมีโอกาสที่จะเกิดขึนได้น้อยกว่าปั๊มหอยโข่งนะครับ เพราะวัสดุตัว Submersible Pump ถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยต่อการรั่วซึมของน้ำเข้าไปในตัวปั๊มอยู่แล้ว กลับกันกับปั๊มหอยโข่งทั่วไปที่จะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมากกว่าทำให้เกิดความเสียหายได้บ่อยกว่า Submersible Pump นั่นเอง
3.ประสิทธิภาพ ถ้าพูดกันถึงเรื่องประสิทธิภาพโดยรวมของปั๊มทั้งสองประเภทนี้ แน่นอนว่าปั๊มหอยโข่งสามารถทำคะแนนได้มากกว่าแน่นอน เพราะสามารถออกแบบให้ใหญ่กว่า และแรงกว่าได้ ในทางกลับกัน Submersible Pump ค่อนข้างมีข้อจำกัดที่หลากหลายทั้งในด้านการออกแบบ หรือวัสดุที่ใช้ก็ตามจึงทำให้เกิดข้อจำกัดทางด้านประสิทธิภาพนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัว Submersible Pump เองก็มีข้อดีในเรื่องของทางดูดที่ใช้พลังงานน้อยกว่าจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยตัดสินใจในการเลือกใช้ปั๊มประเภทนี้เลยก็ว่าได้
4.ปัญหาเรื่องความร้อน ปัญหาของการ Over-heating ในตัวปั๊มของ Submersible Pump ค่อนข้างที่จะเกิดง่ายกว่าถ้าเกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องด้วยการออกแบบที่ค่อนข้างมิดชิดนั่นเอง ส่วนตัวปั๊มหอยโข่งจะมีการระบายความร้อนอยู่ตลอดเวลาทั้งส่วนของพัดลมมอเตอร์เอง และสิ่งแวดล้อมต่างๆจึงทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายลดลงไปด้วย
หลักการทำงานของปั๊มจุ่ม
- จุ่มลงในของเหลว
o ปั๊มแช่ออกแบบให้ใช้งานโดยการจุ่มอยู่ในของเหลว ช่วยให้เย็นมอเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นแยกต่างหาก - เปิดใช้งานมอเตอร์
o เมื่อเปิดใช้งาน กระแสไฟฟ้าจะส่งผ่านสายจากผิวน้ำไปยังปั๊ม มอเตอร์ที่ผนึกแน่นจะเริ่มทำงาน ทำให้ใบพัดหมุน - การดูดของเหลว
o ใบพัดหมุนสร้างแรงดันต่ำที่ทางเข้าปั๊ม ดึงของเหลวเข้าสู่ปั๊มผ่านตะแกรงกรอง - การเคลื่อนที่ของของเหลว
o ใบพัดส่งพลังงานจลน์ไปยังของเหลว จากนั้นดิฟฟิวเซอร์จะแปลงเป็นพลังงานแรงดันเพื่อเคลื่อนที่ของเหลวอย่างมีประสิทธิภาพ - การปล่อยของเหลวออก
o ของเหลวที่มีแรงดันจะถูกส่งไปยังช่องทางออก แล้วส่งต่อไปยังถังเก็บหรือระบบจ่ายน้ำตามจุดประสงค์ - การทำงานต่อเนื่อง
o ปั๊มจุ่มสามารถทำงานต่อเนื่องหรือตามช่วงเวลาที่ต้องการได้ตามการใช้งาน
ข้อดีของปั๊มจุ่ม
- ประสิทธิภาพการทำงาน
o ประหยัดพลังงาน: อยู่ในของเหลวโดยตรง ลดการสูญเสียจากการดูด
o ไม่เกิดคาวิเตชัน: ปั๊มไม่เกิดฟองอากาศในของเหลวซึ่งลดความเสียหาย - การเริ่มทำงานด้วยตนเอง (Self-Priming)
o ไม่ต้องไล่อากาศก่อนใช้งาน สะดวกและเริ่มทำงานได้ทันที - การออกแบบและการบำรุงรักษา
o ขนาดกะทัดรัด เสียงเงียบ และทนทาน ช่วยลดการบำรุงรักษา - ความหลากหลายในการใช้งาน
o ใช้ได้ทั้งน้ำสะอาด น้ำเสีย น้ำมัน และของเหลวผสมตะกอน
o ทำงานได้ในระดับความลึกที่มาก
ข้อเสียของปั๊มจุ่ม
- ต้นทุนเริ่มต้นสูง
o ราคาสูงกว่าปั๊มทั่วไป และอาจต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะสำหรับติดตั้ง - ความยากในการซ่อมบำรุง
o ต้องนำปั๊มขึ้นจากของเหลวก่อนซ่อม
o หากซีลรั่ว อาจทำให้มอเตอร์เสียหายได้ - ข้อจำกัดในการทำงาน
o ต้องการแหล่งจ่ายไฟที่เสถียร
o ไวต่อเศษชิ้นใหญ่ที่อาจทำให้ปั๊มอุดตัน - การกัดกร่อนและการสึกหรอของวัสดุ
o สัมผัสกับของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำให้อายุการใช้งานสั้นลง
o ต้องเลือกวัสดุให้เหมาะกับของเหลวที่ใช้งาน ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ส่วนประกอบของปั๊มจุ่ม
- มอเตอร์
o มอเตอร์คือหัวใจของปั๊มแช่ โดยจะถูกผนึกแน่นเพื่อป้องกันน้ำเข้า และออกแบบมาให้ทำงานใต้น้ำ มอเตอร์ไฟฟ้านี้จะแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล - ตัวเรือนปั๊ม
o ตัวเรือนห่อหุ้มมอเตอร์และชิ้นส่วนอื่น ๆ เพื่อป้องกันและให้ความแข็งแรงโครงสร้าง มักทำจากวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน เพื่อให้ทนทานต่อการแช่ในน้ำหรือของเหลวต่าง ๆ เป็นเวลานาน - ใบพัด (Impeller)
o ใบพัดมีลักษณะคล้ายโรเตอร์ ทำหน้าที่หมุนเพื่อส่งของเหลวผ่านตัวปั๊ม โดยเชื่อมต่อกับแกนของมอเตอร์ และเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สร้างแรงผลักดันของเหลว - ดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser)
o ล้อมรอบใบพัด ทำหน้าที่แปลงพลังงานจลน์ของของเหลวให้เป็นพลังงานแรงดัน เพื่อให้ของเหลวไหลผ่านได้อย่างราบรื่น - ตะแกรงกรองทางเข้า (Intake Screen)
o ป้องกันเศษขนาดใหญ่หรือสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ปั๊ม ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายหรืออุดตันภายในได้ - ซีลและตลับลูกปืน (Seals and Bearings)
o ช่วยให้มอเตอร์และใบพัดหมุนได้อย่างราบรื่น ลดแรงเสียดทาน และป้องกันน้ำเข้าไปในตัวมอเตอร์
ส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้กับปั๊มจุ่ม

- วาล์วกันย้อน (Check Valve)
o วาล์วกันย้อนใช้เพื่อป้องกันการไหลกลับของของเหลวในปั๊ม ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า วาล์วป้องกันการย้อนกลับ
o จำนวนและตำแหน่งของวาล์วกันย้อนขึ้นอยู่กับความลึกและการตั้งค่าของบ่อปั๊ม โดยการติดตั้งที่มีความลึกมากกว่า 200 ฟุตจะต้องติดตั้งวาล์วกันย้อนที่ผิวบ่อและอีกตัวที่ทางออกของปั๊ม
- แคลมป์ (Clamps)
o แคลมป์ท่อใช้ในการปิดผนึกท่อพอลิโอให้ติดกับข้อต่อที่มีฟันหนาม เพื่อให้การเชื่อมต่อแน่นหนาและป้องกันการรั่วซึม
o แคลมป์สแตนเลสให้ความต้านทานการกัดกร่อนในระหว่างการติดตั้งบ่อ - เชือกนิรภัย (Safety Rope)
o เชือกนิรภัยเชื่อมต่อโดยตรงกับปั๊มน้ำแช่และติดตั้งที่ปากบ่อเพื่อป้องกันการแยกของท่อ และทำหน้าที่เป็นสำรองในกรณีที่ท่อยกสูงเกิดความเสียหาย ช่วยให้ดึงปั๊มออกจากบ่อได้ - สายไฟปั๊ม (Pump Cable)
o สายไฟปั๊มใช้ในการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังปั๊ม ซึ่งมักประกอบด้วย 2 หรือ 3 เส้น - ผูกสายไฟ (Cable Ties)
o ใช้ผูกสายไฟของปั๊มในแนวนอนระหว่างการติดตั้ง โดยช่วยให้การติดตั้งเรียบร้อยและเป็นระเบียบ - สวิตช์แรงดัน (Pressure Switches)
o สวิตช์แรงดันใช้ในการควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำแช่ โดยใช้แผ่นเมมเบรนที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในระบบน้ำ มีหลายรุ่นที่สามารถควบคุมแรงดันและการประเมินไฟฟ้าได้ - มาตรวัดแรงดัน (Pressure Gauge)
o ใช้มอนิเตอร์สถานะการทำงานของปั๊มและแสดงการตั้งค่า เปิด และ ปิด ของสวิตช์ปั๊ม มักติดตั้งในส่วนอุปกรณ์เสริมที่เชื่อมต่อกับหัวท่อของถังน้ำ - ใบพัด (Impeller)
o ใบพัดเป็นส่วนประกอบหมุนที่มีใบพัดคงที่ ซึ่งแปลงพลังงานจลน์ของน้ำเป็นความเร็ว - วาล์วเข้าและออก (Inlet and Outlet Valves)
o วาล์วเข้า ใช้เพื่อดูดน้ำเข้าไปในปั๊ม ขณะที่ วาล์วออก ใช้เพื่อระบายน้ำออกจากปั๊ม
ลักษณะใบพัดปั๊มจุ่ม (Impeller)
มี อยู่ 3 ชนิด คือ

- Non clog Type เป็นใบพัดแบบกึ่งเปิด (Semi-open)
ลักษณะของใบพัดเปิด ลักษณะนี้ จะช่วยให้สูบน้ำที่มีตะกอนเจือปนเส้นผ่าศูนย์กลาง 20-70 mm. จึงเหมาะกับใช้สำหรับน้ำโสโครก ระบายน้ำเสีย และสิ่งปฎิกูลต่างๆ โดยมีการอุดตันน้อยที่สุด - Vertex Type ใบพัดเป็นแบบ Vortex
การหมุนของใบพัดจะก่อให้เกิดน้ำวน ทำให้น้ำจำนวนมากหมุนตัวยกขึ้นเป็นกรวยเปิด ทำให้ขยะที่ติดมากับน้ำเสียไม่สัมผัสกับใบพัดโดยตรง เหมาะสำหรับสูบน้ำเสีย จากการทำอาหาร งานระบายน้ำเสียที่มีกากของแข็งเจือปน - Cuter Type ใบพัดเป็นแบบ Semi-open
ที่มีใบมีดเดี่ยว โดยมีการติดตั้งโลหะ Tungsten carbide ไว้ มีลักษณะขอบคล้ายฟันเลื่อย ช่วยในการตัดวัสดุที่มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ไหลเข้าสู่ใบพัด
ประเภทการใช้งานปั๊มจุ่มที่พบในปัจจุบัน
ปั๊มบาดาล
ปั๊มบาดาลเป็นปั๊มจุ่มที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง ปั๊มเหล่านี้ยังสามารถใช้กับงานของอุตสาหกรรมได้อีกด้วย ตัวปั๊มเหล่านี้ทำมาให้สามารถเชื่อมต่อกับมอเตอร์เพื่อทำงานใต้น้ำได้ ง่ายต่อการแก้ไขและซ่อมแซม เมื่อปั๊มเหล่านี้เริ่มทำงาน จะต้องแช่อยู่ในน้ำให้สนิทเท่านั้นเพราะอาจจะทำให้ตัวปั๊มเกิดการเสียหายได้ อกมาเพื่อสามารถสูบน้ำที่เป็นกรดอ่อนและน้ำจืดได้เป็นอย่างดี
ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำสะอาด
ใช้งานสำหรับน้ำสะอาดโดย ตัวปั๊มออกแบบมาเพื่อใช้สูบน้ำ ระบายน้ำขัง หรือแหล่งน้ำขังที่มีเศษตะกอนไม่มาก โดยจะสามารถดูดเอาสิ่งสกปรกในแอ่งน้ำหรือบ่อน้ำและทำความสะอาดเครื่องปั๊มได้ง่ายด้วยตะแกรงกรองน้ำที่สามารถถอดออกได้ จึงเหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปภายในตัวบ้านและรูปแบบการเกษตร เช่น การสูบน้ำจากสระน้ำ, ถังพักน้ำ, การทำน้ำพุ, สูบน้ำท่วมขังภายในพื้นที่จำกัด, สูบน้ำจากบ่อเลี้ยงปลา, หรือสำหรับตู้ปลา เป็นต้น
ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับสูบน้ำโคลน
การใช้งานสำหรับสูบน้ำที่มีโคลน ด้วยตัวปั๊มซับเมอร์สที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สูบน้ำที่มีเศษตะกอนหรือดินโคลน ทราย หินเจือปนอยู่ในน้ำ เนื่องจากเป็นเครื่องปั๊มที่ถูกออกแบบมาให้มีใบพัดที่หมุนได้กำลังสูง วัสดุที่ทนทานต่อการสึกหรอและเจอกับการกัดกร่อนของสารละลายหรือกรดต่าง ๆ ได้ดี และยังคงสามารถทำงานได้นานต่อเนื่องแม้ว่าเครื่องปั๊มน้ำจะไม่จมอยู่ใต้น้ำเหมือนกับตัวปั๊มอื่น ๆ ได้ ปั๊มแบบนี้จึงเหมาะสำหรับใช้ในสถานที่ที่มีการก่อสร้าง งานสูบน้ำในเหมืองดินเหมืองแร่ งานด้านโยธา เช่น สูบน้ำที่จะระบายน้ำทิ้ง, ใช้ในการระบายน้ำใต้ดิน, สูบน้ำจากลำคลองหรือแม่น้ำสายเล็ก ๆ เป็นต้น (ดูรายละเอียดใน Slurry pump article ประกอบ)
ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำเสีย
ออกแบบมาใช้งานสำหรับน้ำเสีย สิิ่งปติกูล ตัวปั๊มซับเมอร์สชนิดนี้ สามารถใช้สูบน้ำเสียที่มีสิ่งปฏิกูลปนเปื้อนอยู่ภายในน้ำ โดยภายในปั๊มซับเมอร์สประเภภทนี้จะมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบที่มีลูกลอยและไม่มีลูกลอย ชนิดของใบพัดแบบเปิดและยังมีใบมีดที่สามารถตัดเศษต่าง ๆ ให้กลายเป็นเส้นใยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวเครื่อง เกิดการอุดตันภายใน จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับการนำมาติดตั้งใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือบ่อบำบัดน้ำเสีย งานเกษตรกรรม การระบายน้ำออกจากคอกปศุสัตว์ และการใช้ระบายน้ำทิ้งน้ำเสียในที่พักอาศัย บ้าน อาคาร เป็นต้น (ดูรายละเอียดใน Slurry pump article ประกอบ)
ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำทะเล
ตัวเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อสูบน้ำทะเล ตัวเครื่องปั๊มซับเมอร์สนั้นออกแบบมาสำหรับใช้สูบน้ำที่มีค่า PH เป็นด่างเค็มหรือน้ำทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะติดตั้งระบบแรงดันไฟฟ้าแบบ DC ที่จะสามารถเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ได้ ตัวเรือนผลิตจากยาง เรซิน และเหล็กกล้าแบบไร้สนิม หรือเหล็กหล่อที่มีคุณสมบัติพิเศษที่จะไม่เป็นสนิม และมีความทนทานต่อการเสียดสีและการกัดกร่อนของน้ำทะเล ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับการนำมาใช้งานในเรือเดินทะเล ส่วนของท่าเรือ หรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารทะเล และอื่น ๆ เป็นต้น
ปั๊มจุ่มสำหรับบ่อน้ำลึก (Deep Well Submersible Water Pump)
ปั๊มบ่อน้ำลึกเป็นหนึ่งในประเภทของปั๊มแช่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับสูบน้ำจากบ่อน้ำลึกมายังบ้านหรือพื้นที่ที่ต้องการ ออกแบบให้จุ่มอยู่ในน้ำได้ทั้งหมด จึงมักเรียกว่า “ปั๊มแช่สำหรับบ่อน้ำลึก” และยังสามารถใช้ในระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ภายในประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับตัวปั๊ม โดยทำงานอยู่ใต้น้ำทั้งหมด เมื่อเริ่มทำงาน ปั๊มเหล่านี้ต้องจมอยู่ในน้ำโดยสมบูรณ์ และสามารถสูบน้ำจืดหรือน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปั๊มจุ่มจะมีกำลังน้อยกว่า และมีจำนวนใบพัดน้อยกว่า ทำให้ไม่สามารถสูบน้ำจากบ่อใต้ดินลึกๆ ได้ เหมาะสำหรับสูบน้ำจากบ่อที่ไม่ลึกมาก
ปั๊มซับเมอร์สเป็นปั๊มที่ใช้งานลักษณะจุ่มแช่ลงไปในน้ำ หรือใช้งานสำหรับการปั๊มน้ำบาดาล เป็นเครื่องมือที่ช่วยดูดน้ำที่ลึกลงไปในชั้นผิวดินที่มีความลึกเกิน 10 เมตร โดยอุปกรณ์ที่มานำมาใช้ผลิตและประกอบนั้น มีความแน่นหนาเพื่อป้องกันมอเตอร์เสียหายจากการทำงาน โดยปั๊มซับเมอร์ส จะแบ่งส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนมอเตอร์ และส่วนใบพัด ปั๊มซับเมอร์สที่มีความหลากหลายของจำนวนใบพัดก็เพื่อความสามารถในการสูบและเหมาะกับอัตราการไหลของน้ำ ยิ่งใบพัดมาก ปั๊มซับเมอร์ส ก็ยิ่งมีความยาวมาก และก็สามารถส่งน้ำได้สูงขึ้นเช่นกัน
กฎหมายการติดตั้งปั๊มซับเมอร์ส ที่เกี่ยวกับ เกี่ยวกับการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล กำหนดให้กรุงเทพมหานคร และทุกจังหวัดในราชอาณาจักรไทยเป็นเขตน้ำบาดาล และกำหนดให้น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกจากผิวดิน เกินกว่า 15 เมตร เป็นน้ำบาดาล ดังนั้น ผู้ใช้น้ำจากบ่อน้ำบาดาล ในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีความลึกจากผิวดินเกินกว่า 15 เมตรจึงต้องไปยื่นคำขอรับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลให้ถูกต้องหากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ปั๊มสแตนเลส (Stainless Steel Pump)
ปั๊มสแตนเลสให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าปั๊มเหล็กหล่อ เนื่องจากมีโครงสร้างที่หุ้มด้วยสแตนเลสทั้งตัว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ได้รับชื่อว่า “ปั๊มสแตนเลส” ปั๊มประเภทนี้จะจุ่มอยู่ใต้น้ำอย่างเต็มที่ในขณะทำงาน และมีคุณสมบัติต้านทานต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดได้ดีเยี่ยม จึงเหมาะสำหรับใช้สูบน้ำร้อนหรือน้ำที่มีความเป็นกรดเล็กน้อย นอกจากการสูบน้ำจากบ่อน้ำแล้ว ยังสามารถใช้กับแหล่งน้ำเฉพาะทางอื่น ๆ และการถ่ายเทน้ำจืดบ่อยครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ปั๊มดูดน้ำจากด้านล่าง (Bottom Suction Pump)
ปั๊มจุ่มประเภทนี้มักใช้ในงานทั่วไป เช่น แม่น้ำ เหมืองแร่ การระบายน้ำ สระว่ายน้ำ และทะเลสาบ โดยจะติดตั้ง ปลอกนำทาง (Guide Sleeve) ไว้ใต้ตัวปั๊ม ปั๊มแช่แบบดูดจากด้านล่างจะทำงานโดย ดูดน้ำจากด้านล่างของบ่อ ซึ่งช่วยให้ระบบระบายความร้อนของมอเตอร์มีประสิทธิภาพสูง และยังส่งผลให้การทำงานของปั๊มมีคุณภาพดีเยี่ยมอีกด้วย
ปั๊มแบบใช้น้ำมัน (Oil-Filled Pump)
ปั๊มชนิดนี้มีมอเตอร์ไฟฟ้าที่แช่อยู่ในน้ำมัน และถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายสถานการณ์ เช่น
- การจ่ายน้ำให้พื้นที่ภูเขา
- ระบบระบายน้ำ
- น้ำใช้ในงานบริการ
- การสูบน้ำจากบ่อ
- ระบบชลประทานในไร่นา
- การส่งน้ำขึ้นบ้านเรือนบนเนินเขา ฯลฯ
ปั๊มชนิดนี้ต้องมีการ เติมน้ำมัน เพื่อช่วยในการระบายความร้อนของมอเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการใช้น้ำมันคือ สามารถทำงานในสภาพอากาศเย็นได้ดี เพราะน้ำมันไม่แข็งตัวเหมือนน้ำ

ปั๊มจุ่มแบบใช้น้ำหล่อเย็น (Water Cooler Submersible Well Pump)
ปั๊มจุ่มแบบใช้น้ำหล่อเย็นถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการตั้งอุตสาหกรรม ระบบน้ำในบ้าน ระบบชลประทานในพื้นที่การเกษตร และการใช้งานอื่น ๆ ที่หลากหลาย เหมือนกับปั๊มแบบใช้น้ำมัน ปั๊มชนิดนี้สามารถทำงานใต้น้ำได้เช่นกัน มอเตอร์ของปั๊มเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ทำงานขณะจมอยู่ในน้ำ และสามารถฉีดน้ำจืดเข้าไปเพื่อช่วยในการระบายความร้อนของมอเตอร์ไฟฟ้าในระหว่างการทำงาน
ปั๊มแบบผสมและแบบไหลแกน (Mixed and Axial Flow Pumps)
ปั๊มชนิดนี้มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในระบบระบายน้ำ สถานีสูบจ่ายน้ำแข็งตัว การระบายน้ำเสีย, การระบายน้ำในแม่น้ำ โรงงานบำบัดน้ำเสีย และการควบคุมการไหลล้น การออกแบบที่ไม่อุดตันและความสามารถในการไหลที่สูงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ ระบบซีลสามชั้นยังช่วยยืดอายุของท่อโดยการป้องกันการรั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปั๊มจุ่มแบบอเนกประสงค์ (Submersible Utility Pump)
ปั๊มแช่แบบอเนกประสงค์เป็นปั๊มที่มีความหลากหลายและสามารถปรับใช้งานได้หลายประเภท
โดยทั่วไปแล้วใช้สำหรับงานต่าง ๆ เช่น การระบายน้ำจากตู้ปลาหรือการกำจัดน้ำขังจากพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่กลางแจ้ง เป็นต้น
ปั๊มเหล่านี้ได้รับความนิยมจากคุณสมบัติที่โดดเด่น เช่น
- สามารถแช่ในน้ำได้อย่างเต็มที่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานขนาดใหญ่
- มีการตั้งค่าได้ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบแมนนวล ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
- มีน้ำหนักเบา โดยหนักเพียง 9 ปอนด์
- ความสามารถในการสูบจ่ายน้ำได้ถึง 27 แกลลอนต่อนาที (GPM)
หน้าที่สำคัญของปั๊มน้ำอุตสาหกรรม ในระบบบำบัดน้ำเสีย
ใช้ในการสูบน้ำเสียจากแหล่งน้ำเสียไปยังสถานที่บำบัดน้ำเสียหรือระหว่างขั้นตอนต่างๆภายในระบบบำบัดน้ำเสีย การเลือกปั๊มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของน้ำเสียที่ต้องการบำบัด สารแขวนลอยหรือของแข็งที่เจือปนในน้ำเสีย และอัตราการไหลของน้ำเสีย
ปั๊มซับเมอร์สหรือปั๊มสูบน้ำเสียชนิดจุ่มน้ำ (Submersible Pump)
ออกแบบมาสำหรับใช้งานกับน้ำเสีย ใบพัดแบบนันคล๊อก (Non-Clog Impeller) รองรับของแข็งขนาดใหญ่ให้ไหลผ่านได้ โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน วัสดุทนต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนของสารละลายหรือกรดต่างๆได้ดี มีทั้งแบบที่ติดตั้งกับชุดไกด์เรียล (Auto setter) เพื่อให้สะดวกในการบำรุงรักษา
ปั๊มจุ่มสูบน้ำเสียหรือปั๊มไดโว่สูบน้ำเสีย (Submersible Vortex Pump)
ออกแบบมาสำหรับใช้ในระบบบำบัดน้ำเสียที่มีเส้นใยปะปน และด้วยใบพัดแบบ Vortex ที่รองรับของแข็งชนาดใหญ่ หรือลักษณะเป็นเส้นให้ไลผ่านได้โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน จึงเหมาะสำหรับระบบบำบัดน้ำเสียในอุตสาหกรรมกระดาษ สิ่งทอ ฟอกหนัง รองเท้า เป็นต้น
ปั๊มแบบไดอะแฟรม ปั๊มเคมี
ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับสูบจ่ายสารเคมีในระบบบำบัดน้ำเสีย และจ่ายสารเคมีของถังบำบัดเคมี โดยแผ่นไดอะแฟรม ทำหน้าที่สร้างความดันและย้ายของเหลว มักใช้กับน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยหรือสารเคมีที่รุนแรง
ปํ๊มน้ำอุตสาหกรรมใช้ในการหมุนเวียนและการผสม
ในระบบบำบัดน้ำเสีย ปั๊มอุตสาหกรรมที่ใช้เพื่อการหมุนเวียนและการผสม ต้องมีคุณสมบัติในการจัดการกับน้ำเสียที่อาจมีสารแขวนลอยและทนต่อการกัดกร่อนและการสึกหรอได้ดี ควรศึกษาสารเคมีที่ปั๊มนำไปใช้งาน เพื่อเลือกวัสดุที่ทำชิ้นส่วนของปั๊ม (Wetted part) ใด้ถูกต้อง
แฟคเตอร์ในการเลือกปั๊มซับเมอร์ส หรือปั๊มบาดาล

ลักษณะการใช้งาน (Application)
เราต้องรู้ก่อนว่าปั๊มสูบน้ำเสียที่เราจะซื้อ จะนำไปใช้งานในรูปแบบใด เพื่อให้เราทราบถึงข้อมูลโดยรวมของโครงการ ลักษณะการใช้งาน รูปแบบการติดตั้ง ของเหลวที่ต้องการใช้ เช่นใช้ในฟาร์มหมู คอนโดมิเนียม โรงงานอุตสาหกรรม อพาร์ทเม้น บ่อบำบัดน้ำเสีย บ่อสูบน้ำฝน เป็นต้น
สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะเลือกซื้อปั๊มซับเมอร์ส (ปั๊มบาดาล)
สิ่งแรกคือการดูว่าขนาดของบ่อน้ำที่เราขุดเจาะลงไป มีความกว้างอยู่ที่เท่าไหร่ โดยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 2 นิ้ว จนถึง 5 นิ้ว ระยะความลึกของบ่อที่เราจะทำการหย่อนตัวเครื่องปั๊มลงไป และวัดดูว่าช่วงไหนที่น้ำในบ่อบาดาลมีปริมาณที่สม่ำเสมอ แนะนำควรกะระยะการหย่อนปั๊มให้มีความสูงกว่าก้นบ่อเกิน 5 เมตรขึ้นไป ระยะการหย่อเครื่องปั๊มที่ดีไม่ควรหย่อนลึกเกินไปและใกล้ปากบ่อเกินไป วิธีการคำนวณระยะการหย่อนคือ นำระดับน้ำก่อนจะสูบ บอกเพิ่ม 20 ม. เป็นอย่างต่ำดังเช่น เราทำการเจาะท่อบาดาลมีความลึกทั้งหมด 50 ม. ระดับน้ำก่อนจะสูบอยู่ 15 ม. ให้บวกเพิ่มอีก 20 ม. ที่จะได้คือ 15ม.+20ม. = 35ม. 35ม. นี่เป็นระยะที่เหมาะสมกับการหย่อนเครื่องปั๊มเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เครื่องปั๊มดูดเอาเศษตะกอนทรายหรือดินโคลน เข้ามาภายในท่อด้วยเพื่อให้ได้น้ำสะอาดและไม่ส่งผลเสียกับเครื่องปั๊มซับเมอร์ส และดูว่าปริมาณน้ำในบ่อขุดเพียงพอต่อการใช้งานมากน้อยเพียงใด
โดยควรเลือกซื้อปั๊มให้มีสมรรถภาพเหมาะสมกับปริมาณน้ำที่สามารถดูดขึ้นมาได้ โดยจะแบ่งได้คร่าว ๆ คือ
- ถ้าระดับน้ำในบ่อมีน้อยกว่า 2,000 จนถึง 3,000 ลิตรก็ควรจะเลือกใช้ เครื่องปั๊มครึ่งแรงม้า หรือประมาณ 350 ถึง 400 วัตต์ จะเป็นกำลังที่เหมาะสำหรับงานนี้
- ถ้าระดับน้ำในบ่อมีน้อยกว่า 4,000 จนถึง 6,000 ลิตรก็ควรจะเลือกใช้ เครื่องปั๊ม 1 แรงม้า หรือเทียบกับ 750 วัตต์ จะเป็นกำลังที่เหมาะสำหรับงานนี้
- ถ้าวัดระดับน้ำจากบ่อขุดได้เยอะมาก ๆ คุณก็สามารถเลือกเอาเครื่องปั๊มขนาดไหนก็ได้ตามปริมาณที่คุณต้องการจะใช้ ถ้าอยากได้เยอะมากแนะนำประมาณ 2-3แรงม้า หรือ 1,500-2,250 วัตต์
ข้อเสนอแนะการเลือกปั๊มบาดาล
- ขนาดบ่อเจาะปั๊มซับเมอร์ส ควรรู้ขนาดบ่อที่เจาะ จะทำให้สามารถเลือกขนาดปั๊มซับเมอร์สได้ เหมาะกับขนาดปั๊มซับเมอร์ส เช่น เจาะบ่อน้ำขนาด4 นิ้ว ควรเลือกซื้อขนาดปั๊มซับเมอร์สที่มีขนาดไม่เกิน 4 นิ้ว เป็นต้น

- ระยะการหย่อนปั๊มซับเมอร์ส ไม่ควรหย่อนปั๊มซับเมอร์สให้ใกล้ระดับน้ำก่อนสูบมากเกินไป และไม่ควรหย่อนปั๊มให้สุดระยะท่อเจาะปั๊ม แนะนำควรเผื่อระยะการหย่อนปั๊มให้มีความสูงกว่าก้นบ่อเกิน 5 เมตรขึ้นไป ระยะการหย่อยที่ดีไม่ควรหน่อยลึกเกินไปและใกล้คเกินไป วิธีการคำนวณคือ นำระดับน้ำก่อนสูบ + 20 ม. เป็นอย่างต่ำ เช่น เจาะท่อบาดาลมีความลึกทั้งหมด 50 ม. ระดับน้ำก่อนสูบอยู่ 15 ม. ให้บวก 20ม. คือ 15ม.+20ม. = 35ม. 35ม. คือระยะที่เหมาะสมกับการหย่อน

3. ซื้อปั๊มให้เหมาะกับปริมาณน้ำที่เจาะได้ ก่อนเลือกซื้อปั๊มควรรู้ปริมาณน้ำก่อนเลือกซื้อปั๊ม โดยแบ่งการซื้อปั๊มน้ำให้เหมาะกับปริมาณได้เป็น 3 แบบคือ
- ระดับน้ำน้อยกว่า 2,000 – 3,000 ลิตร ควรเลือก ปั๊มครึ่งแรงม้า หรือ 350-400 วัตต์
- ระดับน้ำปานกลาง 4,000-6,000 ลิตร ควรเลือกปั๊มที่มีรงม้า 1 แรงม้า หรือ 750 วัตต์
- ระดับน้ำเยอะ สามารถเลือกใช้ปั๊มขนาดใดก็ได้ 2 – 3 แรงม้า หรือ 1,500 – 2,250 วัตต์
ระยะส่ง (Total Head)
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกใช้ปั๊มสูบน้ำเสีย Submersible Pump ต้องรู้ระยะสูบส่งของเหลวทุกครั้ง เพื่อที่เราจะได้เลือกขนาดของปั๊มจุ่มได้ถูกต้อง ระยะส่งในแนวดิ่ง ระยะส่งแนวราบส่งไปไกลกี่เมตร เช่นการสูบน้ำในบ่อบำบัดน้ำเสีย ระยะสูบแนวดิ่งจากระดับน้ำ สูง 3 เมตร และส่งไปไกลในแนวราบอีก 50 เมตร แบบนี้เราก็สามารถเลือกระยะทาง สเปคของปั๊มแช่ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
เทคนิคง่ายๆการคิดระยะทาง
ตัวอย่างเช่น บ่อน้ำเสียในฟาร์มหมู มีตะกอนเล็กน้อย บ่อลึก 4 เมตร สูบในแนวราบสุดปลายท่ออีกทางไกลออกไป 100 เมตร เราควรเลือกปั๊มไดโว่ระยะส่ง (Total Head) เท่าไหร่
แนวดิ่ง ให้เราคิดตามจริงไว้ก่อนครับ ว่าระยะส่งสูง 4 เมตร
แนวราบ ให้เราคิดที่อัตราส่วน 1/10 เช่น 100/10 เท่ากับ 10 เมตร นำระยะส่งทั้ง 2 มาบวกรวมกัน
ระยะแนวดิ่ง 4 เมตร + ระยะแนวราบ 10 เมตร เท่ากับ ระยะส่งรวม 14 เมตร ดังนั้นเราควรเลือกปั๊มไดโว่ หรือปั๊มจุ่มให้มีระยะส่งที่ไกลกว่า 14 เมตร ปกติแอดมินจะคิดคำนวณเผื่อไว้อย่างน้อย 20-30% ของระยะส่งรวมครับ
- ปริมาณการการสูบกี่ลิตร/นาที หรือ กี่ลูกบาศก์เมตร/นาที (Capacity)
เราต้องคำนวณน้ำที่ไหลมาที่บ่อของเรา หรือบ่อพักเราต้องการสูบของเหลว หรือต้องการสูบโคลนจากบ่อให้หมดในเวลาเท่าไหร่ ซึ่งเราจะคิดปริมาณการสูบเป็นต่อหนึ่งหน่วยเวลา เช่น m3/min, m3/hr, L/sec เป็นต้น
- แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หรือ ไฟฟ้าที่ใช้กี่เฟส กีโวลล์ (Power)
- สายเคเบิล สำหรับจุ่มหรือแช่น้ำ (Cables)
สายเคเบิลสำหรับสายเคเบิล สำหรับจุ่มหรือแช่น้ำ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งาน ให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัยและการใช้งานของปั๊ม สายเคเบิลสำหรับจุ่มหรือแช่น้ำที่ดีต้องมีความทนทาน และป้องกันน้ำได้ การเลือกซื้อสายเคเบิลสำหรับจุ่มหรือแช่น้ำ ที่ดีจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายได้ จำนวนแรงดันไฟที่สายเคเบิ้ลใช้ได้ ควรอยู่ที่ 220 – 380 วัตต์ สำหรับการเชื่อมต่อแบบ 1 เฟส หรือ 3 เฟส
แหล่งที่มาของไฟฟ้าเราต้องรู้ว่าจะที่เราจะติดตั้ง มีไฟฟ้าที่ช่วยซัพพอร์ท หรือจะต้องใช้กี่เฟส เช่นเราใช้ที่บ่อเลี้ยงปลา อาจจะมีไฟแค่ 220 โวลล์ หรือ 1 เฟส หรือใช้ที่บ่อบำบัดน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม อาจจะต้องใช้ไฟฟ้า 380 โวลล์ หรือ 3 เฟส นี้คือสิ่งที่เราต้องเช็คก่อนเลือกซื้อ เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลตอนติดตั้งครับ
ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อการเลือกซื้อปั๊มจุ่ม ปั้มแช่ มีดังนี้
ขนาดท่อส่งกี่นิ้ว เราควรรู้ด้วยว่าท่อเดิม หรือ ขนาดท่อส่งมีขนาดกี่นิ้ว และจุดเชื่อมต่อท่อเป็นแบบไหน Hose- Screw- Flange เป็นต้น
ขนาดท่อส่งกี่นิ้ว เราควรรู้ด้วยว่าท่อเดิม หรือ ขนาดท่อส่งมีขนาดกี่นิ้ว และจุดเชื่อมต่อท่อเป็นแบบไหน Hose- Screw- Flange เป็นต้น
ความยาวของสายไฟฟ้า ต้องระบบระยะทาง และสเปค
ระบบไฟฟ้า หรือการสตาร์ทของตู้ควบคุม Direct-Online – Star-Delta – Soft-Star
ข้อกำหนดพิเศษอื่นๆ เช่น ฉนวนมอเตอร์ (Insulation Class) วัสดุพิเศษ การทาสีพิเศษอุปกรณ์เสริม
การดูแลบำรุงรักษาปั๊มจุ่ม
ปั๊มซับเมอร์สนั้นยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานส่วนมากโดยเฉลี่ยประมาณ 10 ถึง 15 ปี เลยแต่บางตัวอาจมีอายุการใช้งานสั้นลงตามการออกแบบขอฃผู้ผลิตนั้น ๆ แต่ว่าอายุการใช้งานของปั๊มซับเมอร์สก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คุณภาพวัสดุของตัวปั๊ม ความถี่ในการใช้งานเดินเครื่องปั๊มน้ำ และการจ่ายไฟฟ้าของปั๊มเป็นต้น
มีข้อเสียบางประการเกี่ยวกับปั๊มซับเมอร์ส คือปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวซีลที่สามารถสึกกร่อนได้เมื่อเวลาการใช้งานผ่านไปนาน ๆ เมื่อซีลเกิดการกัดกร่อนจนชำรุดผุพัง น้ำหรือของเหลวนั้น ก็จะเข้าไปในส่วนของมอเตอร์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพดังเดิมจนกว่าจะได้รับการซ่อมแซมตัวเครื่อง นอกจากนี้ ซีลนั้นยังยากต่อการเข้าไปตรวจเช็คสภาพทำให้ยากต่อการซ่อมแซมให้ทันท่วงที
ปั๊มมอเตอร์แบบเดี่ยวอาจจะไม่ได้ออกแบบมารองรับการใช้งานสำหรับการติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่องานพิเศษ เช่น การสูบน้ำเสีย หรือปั๊มบ่อสำหรับระบายน้ำ หรือบ่อน้ำมัน นอกจากนี้ ปั๊มยังมีข้อจำกัดในการทำงานกับของเหลวบางอย่างที่มีความหนืดสูงอีกด้วย เช่นน้ำมัน หรือสารเคมีบางชนิด
แหล่งจ่ายไฟฟ้าเกิดไฟตก ปลั๊กหลวมหรือการต่อสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐาน ควรติดตั้งให้ถูกต้อง อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่อาจจะทำให้ปั๊มไหม้เสียหายคือ เกิดจากการที่ตัวเครื่องปั๊มไม่ได้อยู่ในน้ำตลอดเวลา ด้วยที่ว่าตัวเครื่องปั๊มนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้อยู่ในน้ำตลอดเวลาเพราะเรื่องของอุณหภูมิที่อาจจะส่งผลให้เครื่องเกิดความร้อนสะสมภายในมอเตอร์หลักมากเกินไปจึงต้องอาศัยอุณหภูมิของน้ำเป็นตัวระบายความร้อนของมอเตอร์เพื่อไม่ให้เกิดอาการไหม้ขึ้นมาได้ ดังนั้นควรตรวจสอบปริมาณน้ำอยู่เสมอในขณะที่กำลังเดินเครื่องอยู่ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
การดูแลและการบำรุงรักษาปั๊มแบบจุ่ม
ในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งขนาดเล็กเเละขนาดใหญ่ คอนโดมิเนียม โครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือสถานที่อื่นๆ ก็มักมีความต้องการใช้ปั๊มแบบจุ่มสำหรับน้ำเสีย เพิ่มมากขึ้น นั่นคือ นำตัวปั๊มลงไปจุ่มไว้ในน้ำเพื่อสูบน้ำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เเต่ปั๊มเเบบจุ่มสำหรับน้ำเสีย มักมีใช้สูบน้ำมีที่ตะกอน เศษขยะเจือปน งานบำบัดน้ำเสีย เพราะมีช่องตะแกรงที่ใหญ่ และมีฐานที่สูงกว่าปั๊มจุ่มน้ำน้ำสะอาด
ปั๊มจุ่มน้ำเสียในบางรุ่นจะมีใบมีดสำหรับใช้สำหรับย่อยเศษขยะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตัน เพราะฉะนั้น การเลือกปั๊มเเบบจุ่มสำหรับน้ำเสียจึงควรดูชนิดตะกอน เพื่อเลือกประเภทของใบพัดที่เหมาะสมด้วย
ปั๊มจุ่มน้ำเสียก็มีหน้าที่การทำงานคล้ายกับปั๊มจุ่มปกติ ที่เอาไว้สูบน้ำสะอาด เเต่ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่สำหรับน้ำสะอาดก็จะมีลักษณะที่เเตกต่างจากปั๊มเเบบจุ่มสำหรับน้ำเสียเล็กน้อย คือ ปั๊มแช่สำหรับน้ำสะอาดจะมีช่องตะแกรงถี่ๆ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมหลุดรอดเข้าไปอุดตันช่องใบพัด
ปั๊มชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับสูบน้ำสะอาดที่ไม่มีเศษตะกอนเเละใช้ระบายน้ำในพื้นที่จำกัด ซึ่งบางรุ่นก็จะมีอุปกรณ์ป้องกันความร้อนในตัว สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
การดูแลและการบำรุงรักษาปั๊มแบบจุ่มสำหรับน้ำเสียเเละปั๊มจุ่มทั่วไป
1. การต่อสายไฟปั๊มน้ำ ควรระวังน้ำเข้าบริเวณจุดต่อของสายไฟ เพราะถ้าเราพันเทปพันสายไฟไม่ไดี จะทำให้น้ำเข้าไปในสายไฟได้ ซึ่งมีผลทำให้น้ำเข้าไปในตัวปั๊มน้ำได้
2. ส่วนที่เป็นยางบริเวณขั้วสายไฟ ถ้าเรานำไปจุ่มน้ำนานๆ ส่วนที่เป็นยางอาจจะเสื่อมได้ทำให้น้ำอาจจะเข้าไปในตัวปั๊มได้ ดังนั้นควรจะหาทางป้องการได้โดยใช้ซิลิโคลนอุดหรือยาแนวบริเวณ รอบยางบริเวณขั้วสายไฟ
3. การแช่ปั๊มน้ำควรแช่ในน้ำที่สะอาด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรระวังตะกอนหรือเศษต่างๆที่จะเข้าไปใน ตัวปั๊มน้ำ เพราะอาจจะทำให้เศษต่างๆไปพันใบพัด อาจจะทำให้รอบการทำงานของปั๊มน้ำหมุนช้าลง อาจจะแก้ไขใช้ตะแกรงละเอียดกันเศษต่างๆ