Centrifugal Pump Efficiency

ประสิทธิภาพของปั๊มหอยโข่ง

ลักษณะการทำงานของปั๊มหอยโข่ง

ประสิทธิภาพของปั๊ม วัด 3 ลักษณะ

  1. ประสิทธิภาพด้านไฮดรอลิก (Hydraulic Efficiency):
    วัดความสามารถของปั๊มในการถ่ายเทพลังงานไปยังของเหลวอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ประสิทธิภาพด้านกลไก (Mechanical Efficiency):
    วัดการสูญเสียเชิงกลของปั๊ม เช่น จากแรงเสียดทาน การสั่นสะเทือน ฯลฯ
  3. ประสิทธิภาพด้านปริมาตร (Volumetric Efficiency):
    วัดความสามารถของปั๊มในการจ่ายอัตราการไหลตามที่ต้องการ

การสูญเสียพลังงาน และชนิดของประสิทธิภาพ

การคำนวณประสิทธิภาพ

  1. ประสิทธิภาพโดยรวม (Overall Efficiency):
    คำนวณจากอัตราส่วนระหว่างกำลังขาออกกับกำลังขาเข้า
  1. สูตรการคำนวณประสิทธิภาพ:
      η = (กำลังขาออก / กำลังขาเข้า) × 100%

ความหมายของกราฟสมรรถนะปั๊ม

กราฟสมรรถนะปั๊มเป็นการแสดงผลลัพธ์ทางกราฟิกของค่าต่าง ๆ ที่ปั๊มสร้างขึ้น เช่น ความสูงของน้ำ (Head), อัตราการไหล (Flow Rate), ประสิทธิภาพ (Efficiency), กำลังไฟฟ้าที่ปั๊มใช้ (Input Power) และค่า NPSHR (Net Positive Suction Head Required) โดยจะแสดงความสัมพันธ์ของค่าต่าง ๆ เหล่านี้กับอัตราการไหลของน้ำที่ผ่านปั๊ม

1. Head and Flow Curve (กราฟความสูงและอัตราการไหล)

  • แกนตั้ง (Y-axis) แสดง Pump Total Head (H) เป็นหน่วยฟุต (ft) ซึ่งหมายถึงพลังงานที่ปั๊มส่งให้กับน้ำต่อน้ำหนักน้ำหนึ่งหน่วย
  • แกนนอน (X-axis) แสดง Flow Rate หรืออัตราการไหลของน้ำในหน่วย แกลลอนต่อนาที (GPM)
  • กราฟนี้ใช้บอกสมรรถนะของปั๊มโดยไม่ขึ้นกับความหนาแน่นของของเหลว

2. Efficiency Curve (กราฟประสิทธิภาพ)

  • แสดงประสิทธิภาพของปั๊มในรูปเปอร์เซ็นต์ (%)
  • สูตรคำนวณประสิทธิภาพปั๊ม:

ηp=PwPp

โดยที่
Np = ประสิทธิภาพปั๊ม
Pw = กำลังที่ปั๊มถ่ายโอนให้น้ำ (hp)
Pp = กำลังไฟฟ้าที่ปั๊มใช้ (hp)

  • จุดที่ประสิทธิภาพสูงสุดของปั๊ม เรียกว่า Best Efficiency Point (BEP) ซึ่งเป็นจุดทำงานที่ดีที่สุดของปั๊ม

3. Pump Input Power Curve (กราฟกำลังไฟฟ้าที่ปั๊มใช้)

  • แสดงกำลังไฟฟ้าที่ปั๊มต้องใช้ตามอัตราการไหล
  • สูตรคำนวณกำลังไฟฟ้าที่ใช้

Pp=Q⋅H⋅s3960⋅ηp

โดยที่
Pp = กำลังไฟฟ้าที่ใช้ (hp)
Q = อัตราการไหล (GPM)
H = ความสูงของน้ำ (ft)
s = ความหนาแน่นสัมพัทธ์ (Specific Gravity)
Np = ประสิทธิภาพปั๊ม

สามารถคำนวณกำลังไฟฟ้าจากกำลังถ่ายโอนพลังงานน้ำและประสิทธิภาพได้:

Pp=Pwηp

กราฟนี้ช่วยในการเลือกขนาดมอเตอร์หรือไดรเวอร์ให้เหมาะสมกับปั๊ม

4. Net Positive Suction Head Required (NPSHR) Curve (กราฟ NPSHR)

  • แสดงค่า NPSHR ในหน่วยความสูงน้ำ สำหรับอัตราการไหลต่าง ๆ
  • NPSHR คือค่าความดันดูดที่ต้องมีขั้นต่ำ เพื่อให้ปั๊มทำงานได้ตามสมรรถนะโดยไม่เกิดโพรงอากาศ (Cavitation)
  • ค่า NPSHR สามารถดูได้จากกราฟสมรรถนะของปั๊มที่ผู้ผลิตให้มา

ความสำคัญของประสิทธิภาพปั๊ม

  1. ประหยัดพลังงาน:
    ปั๊มที่มีประสิทธิภาพสูงจะใช้พลังงานน้อยลงและช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน
  2. ความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น:
    ปั๊มที่มีประสิทธิภาพสูงมักมีอายุการใช้งานนานขึ้น และต้องการการบำรุงรักษาน้อยลง
  3. ผลดีต่อสิ่งแวดล้อม:
    การลดการใช้พลังงานช่วยให้การดำเนินงานมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของปั๊มหอยโข่ง

    การเพิ่มประสิทธิภาพของปั๊มหอยโข่งเกี่ยวข้องทั้งด้านการออกแบบและการใช้งานจริง ต่อไปนี้คือกลยุทธ์แบบครอบคลุม:

1. เดินเครื่องใกล้จุดประสิทธิภาพสูงสุด (BEP – Best Efficiency Point)

  1. ให้แน่ใจว่าปั๊มทำงานใกล้กับจุด BEP ซึ่งเป็นจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
  2. หลีกเลี่ยงการเดินเครื่องในช่วงที่ค่าการไหลต่ำเกินไป (ด้านซ้ายของกราฟปั๊ม) หรือสูงเกินไป (ด้านขวา)

    Pump Operating Points and Regions

    Best Efficiency Point (BEP) — จุดประสิทธิภาพสูงสุดของปั๊ม

  • BEP คือจุดที่ปั๊มทำงานที่ประสิทธิภาพสูงสุด (max efficiency) ที่ความเร็วรอบและขนาดใบพัด (impeller diameter) ที่กำหนด
  • ปั๊มจะถูกออกแบบให้ทำงานที่จุดนี้ (duty point) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานดีที่สุด
  • ข้อดีของการทำงานที่ BEP:
    • การสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนต่ำ
    • การหมุนเวียนน้ำภายในใบพัดน้อยที่สุด (ลดความเสียหาย)
    • น้ำไหลเข้าสู่ใบพัดอย่างราบรื่น (shockless entry) หมายถึงทิศทางน้ำตรงกับมุมของใบพัดพอดี

    Preferred Operating Region (POR) — พื้นที่การทำงานที่เหมาะสม

  • POR คือช่วงอัตราการไหลที่อยู่รอบๆ BEP ที่ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของปั๊มยังไม่ลดลงมาก
  • ในช่วงนี้ การสั่นสะเทือนและภาระภายในปั๊มยังต่ำ
  • ขอบเขตของ POR จะต่างกันขึ้นกับ specific speed ของปั๊ม โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง:
    • 90-110% ของอัตราการไหลที่ BEP
    • หรือกว้างขึ้นได้ถึง 70-120% ของอัตราการไหลที่ BEP

    Allowable Operating Region (AOR) — พื้นที่การทำงานที่อนุญาต

  • AOR คือช่วงอัตราการไหลที่ปั๊มสามารถทำงานได้ตามสเปคที่ระบุโดยผู้ผลิต
  • ช่วงนี้ถูกจำกัดด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
    • การเกิดโพรงอากาศ (cavitation)
    • ความร้อน
    • การสั่นสะเทือน
    • เสียงรบกวน
    • การโก่งตัวของเพลาปั๊ม
    • ความเหนื่อยล้าของวัสดุ (fatigue)
  • สามารถใช้งานปั๊มในช่วงนี้ได้โดยไม่ทำให้ปั๊มเสียหายมากนักในระยะยาว (service life ยอมรับได้)
  • การทำงานเป็นระยะในช่วงนี้โดยทั่วไปไม่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ แต่ควรปรึกษาผู้ผลิตเพื่อความแม่นยำ

    Shut-off Head และ Pump Runout

  • Shut-off Head คือจุดที่ปั๊มทำงานที่อัตราการไหลเป็นศูนย์ (ไม่มีน้ำไหลผ่าน)
    • ปั๊มยังหมุนอยู่แต่ไม่มีการส่งน้ำ
    • หากปั๊มทำงานที่จุดนี้นานเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายทางกลไกอย่างรุนแรง
  • Pump Runout คือจุดที่ปั๊มทำงานที่อัตราการไหลสูงสุด
    • การทำงานที่จุดนี้อาจทำให้เกิดโพรงอากาศ, การสั่นสะเทือนสูง, และทำให้มอเตอร์หรือไดรเวอร์ทำงานหนักเกินไป
  • ทั้งสองจุดนี้เป็นจุดที่ควรหลีกเลี่ยงการทำงานจริง

สรุป

  • BEP คือจุดที่ดีที่สุดในการทำงานของปั๊ม
  • POR คือช่วงที่ปั๊มทำงานได้ดีและมั่นคงรอบ ๆ BEP
  • AOR คือช่วงที่ปั๊มสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยภายใต้ข้อจำกัดทางเทคนิค

    หลีกเลี่ยงการทำงานที่ Shut-off Head และ Pump Runout เพื่อป้องกันความหายของปั๊ม 

2. ลดการสูญเสียแรงเสียดทาน

  1. ใช้ท่อที่เรียบ มีขนาดเหมาะสม และตรง
  2. ลดจำนวนข้องอ วาล์ว และข้อต่อต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด
  3. ทำความสะอาดท่ออย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันคราบตะกรันหรือตะกอนสะสม

3. ใช้ใบพัดที่เหมาะสมทั้งขนาดและชนิด

  1. ปรับขนาดใบพัดให้ตรงกับจุดใช้งานที่ต้องการ แทนการใช้วาล์วควบคุมปริมาณน้ำ
  2. ใช้ใบพัดที่มีประสิทธิภาพสูง หรืออัปเกรดเป็นใบพัดชนิดมีใบหลายแฉก (vane impeller) หากเหมาะสม

กฎความสัมพันธ์ของปั๊ม (Pump affinity laws)
กฎความสัมพันธ์ของปั๊มอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของปั๊ม สูตรต่อไปนี้ใช้กับปั๊มหอยโข่ง และแสดงให้เห็นความแตกต่างของความจุปั๊ม แรงดันน้ำ และกำลังที่ปั๊มดูดซับเมื่อเปลี่ยนความเร็วของปั๊มโดยที่เส้นผ่านศูนย์กลางของใบพัดไม่เปลี่ยนแปลง

ความจุเปลี่ยนแปลงตามอัตราส่วนของความเร็วปั๊ม:

Q÷ Q2 = N1 ÷ N2 

แรงดันน้ำเปลี่ยนแปลงตามกำลังสองของอัตราส่วนความเร็วปั๊ม:

H÷ H= (N1 ÷ N2)2 

กำลังเปลี่ยนแปลงตามกำลังสามของอัตราส่วนความเร็วปั๊ม

P÷ P= (N1 ÷ N2)3 

โดยที่

  • Q = ความจุปั๊ม (m³/h)
  • H = แรงดันน้ำ (mwc)
  • P = กำลังปั๊ม (kW)
  • N1 = ความเร็วปั๊มที่ต้องการ (รอบต่อนาที, rpm)

N2 = ความเร็วปั๊มอ้างอิง (rpm)

4. ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม

  1. ใช้ระบบขับเคลื่อนความเร็วแปรผัน (VFD) เพื่อปรับความเร็วปั๊มให้สอดคล้องกับความต้องการของระบบ
  2. การลดความเร็วในภาวะโหลดบางส่วนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก

การลดความเร็วและการตัดขนาดใบพัด (Speed Reduction and Impeller Trimming)

  • Variable Speed Drive (VSD) ทำให้สามารถปรับความเร็วปั๊มได้ ทำให้ปั๊มทำงานที่เงื่อนไขหลากหลายตามต้องการ
  • Impeller Trimming คือการลดขนาดใบพัดลงเพื่อปรับการทำงานของปั๊มในกรณีที่ความต้องการลดลง การใช้ affinity rules ช่วยคำนวณผลลัพธ์ใหม่ของปั๊มหลังตัดใบพัด

Application Guideline for Variable Speed Pumping

  • จุดประสงค์ของคู่มือนี้คือการให้ความรู้กับผู้ใช้งานและมืออาชีพในวงการปั๊ม
  • เพื่อส่งเสริมการใช้ Variable Speed Pumps อย่างถูกต้อง
  • ผลลัพธ์ที่ได้คือ
    • ประหยัดพลังงานมากขึ้น (energy efficiency)
    • ระบบทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ (increased reliability)
    • ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในระยะยาว

5. ลดการรั่วไหลและการหมุนเวียนกลับภายใน

  1. ตรวจสอบและรักษาสภาพซีลเชิงกล (mechanical seal) ให้อยู่ในสภาพดี
  2. ตรวจสอบการรั่วภายใน เช่น จากแหวนกันสึก (wear rings) และแหวนซีล (seal rings)

6. ลดปัญหาคาเวเทชัน (Cavitation)

  1. ให้แน่ใจว่า NPSHA (หัวดูดสุทธิที่มีอยู่) มากกว่า NPSHR (หัวดูดที่ต้องการ)
  2. หลีกเลี่ยงการดูดน้ำจากระดับต่ำมากเกินไป ใช้ท่อดูดที่เหมาะสม และพยายามให้ด้านดูดเต็มน้ำเสมอ

สูตรการคำนวณ:

lift L = P(h) – NPSHr – hf

โดยที่

  • L = ความสูงดูดสูงสุด (m) คือความสูงแนวตั้งระหว่างระดับของของเหลวกับจุดกึ่งกลางของปั๊มหอยโข่ง
  • Ph = ความกดอากาศจริง (แรงดันบรรยากาศ) หรือความกดดันของอากาศ ณ จุดที่ใช้งาน (ประมาณ 1000 hPa = 1.0 bar = 10 mwc ที่ระดับน้ำทะเล)
  • NPSHr = Net Positive Suction Head Required (ค่าที่อ่านได้จากกราฟปั๊ม แสดงการสูญเสียแรงดูดภายในปั๊ม เพื่อป้องกันการเกิดโพรงอากาศหรือ cavitation)
  • hf = ความต้านทานจากท่อดูด (ประกอบด้วยแรงเสียดทานในท่อและอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดในท่อดูด)

หมายเหตุ:

  • ความกดอากาศบรรยากาศจะแตกต่างกันตามความสูงจากระดับน้ำทะเล (เช่น ในภูเขาจะต่ำกว่า)
  • อุณหภูมิของของเหลวมีผลต่อความสูงดูดสูงสุด โดยเฉพาะของเหลวที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 20°C จะทำให้ความสูงดูดลดลงอย่างรวดเร็ว

7. ปรับปรุงระบบการสูบโดยรวม

  1. ใช้ปั๊มแบบขนานหรือแบบอนุกรมตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง แทนการใช้ปั๊มตัวเดียวที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  2. พิจารณาใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติเพื่อปิดหรือปรับการทำงานของปั๊มเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้

8. บำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  1. ตรวจสอบการสึกหรอของใบพัด ลูกปืน และซีล
  2. เปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอทันทีเพื่อรักษาประสิทธิภาพ
  3. หยอดน้ำมันหล่อลื่นลูกปืนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

9. อัปเกรดเป็นปั๊มประหยัดพลังงาน

  1. เปลี่ยนปั๊มรุ่นเก่าหรือขนาดใหญ่เกินไป ด้วยปั๊มรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง
  2. เลือกปั๊มที่มีประสิทธิภาพด้านไฮดรอลิกสูงกว่าเดิม

10. ลดการสูญเสียจากการควบคุมวาล์ว (Throttling)

  1. หลีกเลี่ยงการใช้วาล์วควบคุมการไหลมากเกินไป
  2. ให้ใช้ VFD แทน หรือเลือกปั๊มที่เหมาะสมกว่าแต่แรก

ตรวจวัดและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ

  1. ใช้เครื่องมือตรวจวัดประสิทธิภาพ เช่น มิเตอร์วัดการไหล เซ็นเซอร์วัดแรงดัน มิเตอร์พลังงาน
  2. ทำการตรวจสอบ (audit) ปั๊มเป็นประจำเพื่อค้นหาจุดที่ไม่มีประสิทธิภาพและโอกาสในการปรับปรุง   

การคำนวณขนาดปั๊ม (Pump Sizing Calculation)

การเลือกขนาดปั๊มที่เหมาะสมต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในเรื่องของของเหลวและเทคโนโลยีปั๊มอย่างละเอียด ทางผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ปรึกษาผู้มีประสบการณ์เพื่อให้ได้ปั๊มที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ และสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้

Pump Fundamentals: Parallel and Series Pump Implications

ปั๊มแบบ Parallel (ขนาน)

  • ปั๊มหลายตัวดูดน้ำจากแหล่งเดียวกัน และปล่อยน้ำเข้าที่เดียวกัน
  • จุดเด่นคือเพิ่ม อัตราการไหล (flow rate) โดยไม่เพิ่มแรงดัน
  • เพื่อคำนวณกราฟรวม (composite pump curve) ของปั๊มหลายตัวที่ทำงานขนานกัน
    • ให้บวก อัตราการไหลของแต่ละปั๊ม ที่ค่าแรงดัน (head) เดียวกัน

ปั๊มแบบ Series (อนุกรม)

  • ปั๊มหลายตัวเรียงกัน โดยปั๊มตัวแรกปล่อยน้ำไปยังปั๊มตัวถัดไป
  • จุดเด่นคือเพิ่ม แรงดัน (head) โดยไม่เพิ่มอัตราการไหล
  • การใช้งานเหมาะกับระบบที่ต้องการแรงดันสูงแต่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการไหลมาก

ปริมาณการไหลที่เพิ่มขึ้นในระบบขึ้นอยู่กับทั้งรูปร่างของกราฟระบบและรูปร่างของกราฟปั๊ม กราฟปั๊มรวมจะตัดกับกราฟระบบที่จุดการทำงานต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดอัตราการไหลที่แตกต่างกัน เมื่อมีการใช้งานปั๊มเพิ่มขึ้น การไหลก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ

ควรทราบว่า เว้นแต่กราฟระบบจะราบเรียบอย่างสมบูรณ์ (ซึ่งหมายความว่าการเสียดสีและการสูญเสียพลังงานแบบไดนามิกอื่น ๆ นั้นไม่สำคัญ) การนำปั๊มตัวที่สองมาใช้งานพร้อมกันจะไม่ทำให้อัตราการไหลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการไหลจะน้อยกว่าสองเท่า ขึ้นอยู่กับความชันของกราฟระบบ

ปั๊มแบบอนุกรม (Pumps in Series)

ในขณะที่ปั๊มที่วางแบบขนาน (parallel) จะช่วยเพิ่มปริมาณการไหลที่ความดันหัวเท่าเดิมเมื่อเทียบกับปั๊มตัวเดียว ปั๊มที่วางแบบอนุกรม (series) จะช่วยเพิ่มความดันหัวที่ปริมาณการไหลเท่าเดิม

กราฟปั๊มรวมที่แสดงปั๊มแบบอนุกรมสามารถสร้างขึ้นได้โดยการนำค่าความดันหัวของปั๊มแต่ละตัวมาบวกกันที่ปริมาณการไหลเดียวกัน การนำค่าผลรวมนี้มาแสดงในปริมาณการไหลต่าง ๆ จะได้กราฟปั๊มรวมสำหรับกลุ่มปั๊มดังกล่าว รูปที่ 3 แสดงกราฟปั๊มรวมสำหรับปั๊มขนาดเท่ากันสองและสามตัวที่ทำงานแบบอนุกรมครับ

ปั๊มที่ทำงานแบบอนุกรมช่วยให้ระบบปั๊มสามารถสร้างแรงดันหัวสูงขึ้นได้มากกว่าการใช้ปั๊มเพียงตัวเดียว ซึ่งทำให้สามารถออกแบบสถานีปั๊มให้ตอบสนองความต้องการของระบบที่ต้องการแรงดันส่งสูง ๆ ที่อาจจะไม่สามารถทำได้ด้วยปั๊มตัวเดียว ในบางกรณีที่มีการใช้งานเฉพาะเจาะจง สถานีปั๊มแบบนี้ยังช่วยรองรับความแตกต่างของแรงดันในระบบได้กว้างขึ้นโดยการปรับจำนวนปั๊มที่ทำงานในแต่ละช่วงเวลา

การนำปั๊มแบบอนุกรมมาใช้กับระบบที่มีกราฟแรงดันหัวชัน อาจช่วยให้ปั๊มสามารถตอบสนองความต้องการแรงดันหัวที่ต่างกันได้ ตราบใดที่มีการติดตั้งท่อส่งระหว่างขั้นตอน (inter-stage discharge piping) ให้เหมาะสมเพื่อรองรับการทำงานแบบนี้

กราฟสมรรถนะแสดงการใช้งานที่ความเร็วลดลง