Heat Pumps

ปั๊มความร้อน

ปั๊มความร้อนทำงานโดยอ้างอิงตามหลักการของระบบทำความเย็น (Refrigeration) โดยอาศัยคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ของสารทำความเย็น (Refrigerant) ซึ่งสามารถดูดซับความร้อนที่อุณหภูมิต่ำ และปล่อยความร้อนที่อุณหภูมิสูงได้

ระบบปั๊มความร้อน (Heat Pump Systems)

ปั๊มความร้อนเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานเมื่อเทียบกับเตาเผาและเครื่องปรับอากาศ ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสภาพภูมิอากาศ เช่นเดียวกับตู้เย็น ปั๊มความร้อนใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อนจากบริเวณที่เย็นกว่าไปยังบริเวณที่อุ่นกว่า ทำให้บริเวณที่เย็นยิ่งเย็นลง และบริเวณที่อุ่นยิ่งอุ่นขึ้น

ในช่วงฤดูร้อน ปั๊มความร้อนจะถ่ายเทความร้อนจากภายในบ้านออกไปยังภายนอก ส่วนในช่วงฤดูหนาว ปั๊มความร้อนจะดึงความร้อนจากภายนอก (ซึ่งเย็นกว่า) เข้ามายังภายในบ้านที่อุ่นกว่า เนื่องจากระบบนี้ทำงานโดยการถ่ายเทความร้อน ไม่ใช่การสร้างความร้อน จึงสามารถให้ความอบอุ่นอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานภายในบ้าน

ปั๊มความร้อนที่พบมากที่สุดคือแบบใช้แหล่งอากาศ (Air-source heat pump) ซึ่งถ่ายเทความร้อนระหว่างภายในบ้านของคุณกับอากาศภายนอก
ปั๊มความร้อนรุ่นใหม่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้ความร้อนลงได้ถึง 75% เมื่อเทียบกับระบบทำความร้อนด้วยไฟฟ้าแบบต้านทาน เช่น เตาเผาหรือฮีตเตอร์แบบติดผนัง

นอกจากนี้ ปั๊มความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงยังสามารถลดความชื้นในอากาศได้ดีกว่าเครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์ทั่วไป ส่งผลให้ใช้พลังงานน้อยลงและเพิ่มความสบายในช่วงฤดูร้อน

แม้ว่าในอดีตปั๊มความร้อนแบบนี้จะไม่นิยมใช้ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว ปั๊มความร้อนแบบใช้แหล่งอากาศสามารถใช้งานแทนระบบให้ความร้อนในภูมิภาคหนาวได้จริง

ปั๊มความร้อนไม่ได้สร้างความร้อน แต่ย้ายความร้อน

ปั๊มความร้อนไม่ได้ผลิตความร้อนขึ้นมาเอง แต่ทำหน้าที่ถ่ายเท (หรือย้าย) ความร้อน จากอากาศหรือพื้นดิน โดยใช้สารทำความเย็น (Refrigerant) ที่หมุนเวียนระหว่าง

  • ยูนิตพัดลมภายในบ้าน (Fan Coil / Air Handler)
  • และ คอมเพรสเซอร์ภายนอก (Outdoor Compressor)

ชิ้นส่วนสำคัญของระบบ

  1. Evaporator (เครื่องระเหย): ดูดซับความร้อนจากสิ่งแวดล้อม (อากาศ ดิน หรือแหล่งน้ำ)
  2. Compressor (คอมเพรสเซอร์): เพิ่มแรงดันและอุณหภูมิของสารทำความเย็น
  3. Condenser (เครื่องควบแน่น): ปล่อยความร้อนที่ดูดซับไว้เข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการ
  4. Expansion Valve (วาล์วขยายตัว): ลดแรงดันของสารทำความเย็น ทำให้เย็นลงและพร้อมสำหรับการดูดซับความร้อนรอบถัดไป

ลักษณะการให้ความร้อน (Heating Mode)

  1. การระเหย: สารทำความเย็นดูดซับความร้อนจากภายนอกผ่านเครื่องระเหย
  2. การอัด: คอมเพรสเซอร์จะอัดสารทำความเย็น ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
  3. การควบแน่น: สารทำความเย็นที่มีความร้อนสูงจะผ่านเครื่องควบแน่นและปล่อยความร้อนเข้าสู่ภายในอาคาร
  4. การขยายตัว: สารทำความเย็นผ่านวาล์วขยายตัว ทำให้เย็นลงและกลับไปเริ่มดูดซับความร้อนใหม่

ลักษณะการทำความเย็น (Cooling Mode)

  1. การระเหย: สารทำความเย็นดูดซับความร้อนจากภายในอาคารผ่านเครื่องระเหย
  2. การอัด: สารทำความเย็นถูกอัด ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
  3. การควบแน่น: สารทำความเย็นปล่อยความร้อนออกสู่ภายนอกผ่านเครื่องควบแน่น
  4. การขยายตัว: สารทำความเย็นเย็นตัวลงผ่านวาล์วขยายตัว พร้อมดูดซับความร้อนภายในอีกครั้ง

เมื่อการไหลของสารทำความเย็นกลับทิศ:

  • อากาศภายนอกกลายเป็นแหล่งความร้อน (แม้อุณหภูมิจะต่ำ)
    • ความร้อนถูกถ่ายเทเข้ามาภายในบ้าน
    • คอยล์ด้านนอกจะทำหน้าที่เป็นคอยล์เย็น (Evaporator)
    • คอยล์ด้านในจะกลายเป็นคอยล์ร้อน (Condenser)

ลำดับขั้นการทำงาน (เหมือนกับโหมดทำความเย็น แต่กลับทิศ)

  1. การดูดซับความร้อน:
    1. สารทำความเย็นในสถานะของเหลวที่เย็นมาก ดูดซับพลังงานความร้อนจากอากาศภายนอก
    1. ทำให้มันระเหยกลายเป็น ไอเย็น
  2. การบีบอัด:
    1. ไอเย็นถูกส่งเข้าสู่ คอมเพรสเซอร์ ซึ่งจะ บีบอัดจนกลายเป็นไอร้อน
  3. การถ่ายเทความร้อนภายในบ้าน:
    1. ไอร้อนไหลเข้าสู่ยูนิตภายในบ้าน
    1. อากาศในบ้านถูกเป่าผ่านคอยล์ร้อน ทำให้รับความร้อนจากไอ
    1. ระหว่างนั้น สารทำความเย็นจะ ควบแน่นกลายเป็นของเหลวที่อุ่น
  4. การลดแรงดัน:
    1. ของเหลวที่อุ่นถูกส่งกลับไปยังยูนิตภายนอก
    1. ผ่านวาล์วลดแรงดัน ทำให้กลายเป็น ของเหลวเย็น อีกครั้ง
  5. เริ่มต้นวงจรใหม่:
    1. วงจรนี้จะ หมุนเวียนซ้ำไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ความร้อนแก่ตัวบ้านอย่างต่อเนื่อง

ประเภทของปั๊มความร้อน (Types of Heat Pumps)

1. ปั๊มความร้อนแบบดูดซับจากอากาศ (Air Source Heat Pumps – ASHP)

  • คำอธิบาย: ดูดซับความร้อนจากอากาศภายนอก
  • ข้อดี: ติดตั้งง่าย ราคาไม่สูง
  • ข้อจำกัด: ประสิทธิภาพลดลงเมื่ออุณหภูมิภายนอกต่ำมาก

2. ปั๊มความร้อนแบบดูดซับจากพื้นดิน (Ground Source Heat Pumps – GSHP)

  • คำอธิบาย: ดูดซับความร้อนจากใต้ดิน
  • ข้อดี: ประสิทธิภาพสูง อุณหภูมิคงที่ตลอดปี
  • ข้อจำกัด: ต้นทุนติดตั้งสูง ต้องมีพื้นที่มากพอ

3. ปั๊มความร้อนแบบดูดซับจากน้ำ (Water Source Heat Pumps – WSHP)

  • คำอธิบาย: ดูดซับความร้อนจากแหล่งน้ำ เช่น ทะเลสาบหรือแม่น้ำ
  • ข้อดี: มีประสิทธิภาพดีหากอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
  • ข้อจำกัด: จำกัดการใช้งานตามตำแหน่งของแหล่งน้ำ

ประสิทธิภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับระบบทำความร้อนแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเมื่อใช้พลังงานหมุนเวียน

ประสิทธิภาพ: ปั๊มความร้อนสามารถให้ประสิทธิภาพได้ถึง 300–400% ซึ่งหมายถึงผลิตความร้อนได้ 3–4 หน่วยต่อไฟฟ้าที่ใช้ 1 หน่วย

การใช้งาน (Applications)

  • บ้านพักอาศัย: ใช้ทำความร้อนในฤดูหนาว และทำความเย็นในฤดูร้อน
  • อาคารพาณิชย์: ระบบขนาดใหญ่สามารถควบคุมอุณหภูมิในสำนักงาน โรงเรียน ฯลฯ
  • การใช้งานในอุตสาหกรรม: ใช้สำหรับกระบวนการให้ความร้อนและทำความเย็นในโรงงาน

ปั๊มความร้อนแบบวงจรย้อนกลับ (Reverse Cycle Chillers)
เป็นปั๊มความร้อนแบบพิเศษที่ผลิต น้ำร้อนหรือน้ำเย็น แทนอากาศ เหมาะสำหรับระบบทำความร้อนพื้น (Radiant floor heating)
ปั๊มความร้อนใต้พิภพ (Geothermal หรือ Ground-Source Heat Pumps)
• ถ่ายเทความร้อนระหว่างบ้านกับพื้นดิน ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงกว่าแบบใช้แหล่งอากาศ
• ราคาติดตั้งสูงกว่าหลายเท่า แต่สามารถคืนทุนได้ภายใน 5-10 ปี (ขึ้นอยู่กับราคาพลังงานและสิทธิประโยชน์ที่มีในพื้นที่นั้นๆ)
• อายุการใช้งาน: 24 ปี (สำหรับอุปกรณ์ภายใน) และ 50+ ปี (สำหรับท่อใต้ดิน)
ข้อดี:
• ประหยัดพลังงานถึง 61% เมื่อเทียบกับระบบมาตรฐาน
• ควบคุมความชื้นได้ดี ทนทาน และเชื่อถือได้
ปั๊มความร้อนแบบดูดซับ (Absorption Heat Pumps)
หรือที่เรียกว่า ปั๊มความร้อนแบบใช้ก๊าซ (Gas-fired)
• ใช้พลังงานความร้อนเป็นแหล่งพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ, ไอน้ำ, น้ำร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือพลังงานใต้พิภพ
• ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่กว่าปั๊มความร้อนแบบคอมเพรสเซอร์
• ข้อดีคือใช้ไฟฟ้าน้อยมาก (เฉพาะในการปั๊มน้ำ)
เทคโนโลยีใหม่ในปั๊มความร้อน

  1. คอมเพรสเซอร์แบบหลายสปีดหรือแบบปรับความเร็วได้ (Staged/Multi-Speed/Inverter):
    o ปรับกำลังตามความต้องการ
    o ลดการเปิด-ปิดบ่อยครั้ง
    o ประหยัดพลังงานและเพิ่มความสบาย
  2. มอเตอร์พัดลมแบบความเร็วแปรผัน (Variable-Speed Motors):
    o รักษาความเร็วลมให้สม่ำเสมอ
    o ลดเสียงและเพิ่มความสบาย
  3. ดีซูเปอร์ฮีตเตอร์ (Desuperheater):
    o ใช้ความร้อนส่วนเกินจากโหมดทำความเย็นไปผลิตน้ำร้อน
    o ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าฮีตเตอร์น้ำแบบไฟฟ้าทั่วไป 2-3 เท่า
  4. ระบบลูกผสม (Dual-Fuel หรือ Hybrid):
    o ผสมผสานข้อดีของปั๊มความร้อนกับเตาเผาก๊าซ
    o ปั๊มความร้อนจะทำงานเมื่ออากาศอุ่น และสลับไปใช้เตาเผาเมื่ออากาศหนาว
    o ใช้ท่อส่งลมร่วมกัน ทำให้ติดตั้งง่ายสำหรับบ้านที่มีระบบเดิมอยู่แล้ว
    ปั๊มความร้อนสำหรับภูมิอากาศหนาว (Cold Climate Heat Pumps)
    • ออกแบบมาให้ทำงานในอุณหภูมิต่ำถึง 5°F (-15°C)

ปั๊มความร้อนสำหรับอุตสาหกรรมของยุโรป

    ปั๊มความร้อนสำหรับอุตสาหกรรม เป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเก็บความร้อนจากแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำเสีย และนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อให้ความร้อนหรือความเย็นในอาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานความร้อนใต้พิภพ เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนหรือความเย็น และสามารถกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในภายหลังได้

การลดการปล่อยคาร์บอน

ปั๊มความร้อนในภาคอุตสาหกรรมมีศักยภาพสูงในการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรม โดย European Heat Pump Association (EHPA) ประเมินว่า ปั๊มความร้อนสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานสุดท้ายของภาคอุตสาหกรรมได้ประมาณ 10% หรือ 2,000 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh)

ในปี 2021 ปั๊มความร้อนตอบสนองความต้องการความร้อนในพื้นที่ทั่วโลกประมาณ 10% และอัตราการติดตั้งก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น:

  • นอร์เวย์: 60% ของอาคารใช้ปั๊มความร้อน
  • สวีเดนและฟินแลนด์: มากกว่า 40% ของอาคารใช้ปั๊มความร้อน

ประเภทของปั๊มความร้อนในภาคอุตสาหกรรม

1. ปั๊มความร้อนแบบอัดไอ (Vapor Compression Heat Pumps – VC)

  • ลดความต้องการไอน้ำในกระบวนการให้ความร้อน
  • ต่างจากปั๊มความร้อนทั่วไปที่ใช้สารทำความเย็นเคมี VC heat pump ใช้การอัดไอจากไอเสียหรือไอน้ำในกระบวนการผลิตโดยตรง
  • เนื่องจากสารทำความเย็นมีศักยภาพทำให้โลกร้อน (GWP) สูง จึงมีการวิจัยพัฒนา VC heat pump ที่มี GWP ต่ำ เพื่อช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม

2. ปั๊มความร้อนแบบดูดซับ (Absorption Heat Pumps)

  • ใช้พลังงานความร้อนแทนการใช้ไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่มีพลังงานความร้อนส่วนเกิน เช่น อุตสาหกรรมอาหาร
  • แหล่งพลังงาน ได้แก่ โพรเพน ก๊าซธรรมชาติ น้ำร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือน้ำร้อนจากใต้พิภพ
  • ใช้ระบบ ดูดซับแอมโมเนีย-น้ำ (Ammonia-Water Cycle) ซึ่งแอมโมเนียทำหน้าที่เป็นสารทำความเย็น

3. ปั๊มความร้อนแบบลูกผสม (Hybrid Heat Pumps)

  • ใช้ปั๊มความร้อนร่วมกับแหล่งพลังงานฟอสซิล เช่น หม้อไอน้ำที่ใช้ก๊าซ น้ำมัน หรือก๊าซเหลว (LPG)
  • เมื่ออุณหภูมิต่ำมากจนปั๊มความร้อนทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ระบบจะสลับไปใช้หม้อไอน้ำทันที
  • ช่วยให้สามารถรักษาอุณหภูมิได้คงที่ แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็นมาก

การใช้งานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ

กรณีศึกษา:

บริษัท Compagnie des Fromages & Riches Monts (CF&R) ติดตั้งปั๊มความร้อนอุณหภูมิสูงที่โรงงานใน Montauban-de-Bretagne

  • ประหยัดก๊าซได้ 12 GWh คิดเป็น 20-25%
  • ลดการปล่อย CO₂ ได้ 2,000 ตันต่อปี
  • คาดว่าภายในปี 2024 จะประหยัดพลังงานได้ถึง 50%

การใช้งานอื่น ๆ:

  • ระบบ District Heating ในเมือง ใช้ปั๊มความร้อนเพื่อจ่ายน้ำร้อนหรือทำความร้อนให้ทั้งย่าน

บทบาทของปั๊มความร้อนอุตสาหกรรมต่อการลดคาร์บอน

  • การใช้พลังงานความร้อนเหลือทิ้งช่วยลดความจำเป็นในการผลิตพลังงานใหม่
  • ประสิทธิภาพพลังงานสูงขึ้นได้ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับระบบเผาไหม้แบบดั้งเดิม
  • เมื่อใช้ร่วมกับพลังงานหมุนเวียน จะช่วยลด Carbon Footprint ได้อย่างมาก

ข้อได้เปรียบเพิ่มเติม:

  • ประสิทธิภาพทางความร้อนสูงกว่า 100%
  • ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ
  • คืนทุนได้เร็ว บางระบบใช้เวลาเพียง 2-5 ปี
  • ช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนของยุโรปภายในปี 2050

ข้อมูลจาก EHPA:

  • ณ ปี 2024 ปั๊มความร้อนที่ติดตั้งในยุโรปช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ 58.4 ล้านตัน CO₂ ภายใน 20 ปีที่ผ่านมา

ประโยชน์จากการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม:

  • สิ่งแวดล้อมสะอาดและสุขภาพดีขึ้น
  • ความมั่นคงด้านพลังงาน
  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
  • การจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคพลังงานสะอาด

Heat Pumps สำหรับการประหยัดพลังงานของสหรัฐอเมริกา

    ข้อมูลจัดทำโดย U.S. Department of Energy (DOE) เพื่ออธิบายหลักการทำงาน การประยุกต์ใช้งาน และแนวทางการประเมินความคุ้มค่าของ ระบบ Heat Pump อุตสาหกรรม (Industrial Heat Pumps) ที่ใช้ในการประหยัดพลังงานไอน้ำและเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต

    Heat Pump อุตสาหกรรม เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานไอน้ำและเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกระบวนการที่มีความร้อนเหลือทิ้งระดับกลาง การเลือกชนิดของระบบ การประเมินความคุ้มค่า และการออกแบบให้เหมาะกับสภาพโรงงาน เป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด

  • Heat Pump คืออุปกรณ์ที่เพิ่มอุณหภูมิของความร้อนเหลือทิ้ง (Waste heat) ให้อยู่ในระดับที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้
  • การเพิ่มอุณหภูมินี้ต้องใช้พลังงานขับเคลื่อน เช่น พลังงานกลหรือพลังงานความร้อน
  • เป้าหมายคือให้พลังงานที่ประหยัดได้จากการนำความร้อนกลับมาใช้ มากกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการขับเคลื่อนระบบ

Heat Pump ช่วยประหยัดพลังงาน

  • ใช้ประโยชน์จากความร้อนที่ปกติจะถูกปล่อยทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม
  • ให้ความร้อนกลับมาที่ระดับอุณหภูมิที่สามารถแทนที่พลังงานจากเชื้อเพลิงหรือไอน้ำที่ต้องซื้อ
  • ใช้หลักเทอร์โมไดนามิกส์ Carnot Cycle ในการเปรียบเทียบกับระบบเทอร์ไบน์ไอน้ำแบบ Rankine Cycle

Heat Pump ทำหน้าที่ 3 ขั้นตอนหลัก:

  1. รับความร้อนจากแหล่งความร้อนเหลือทิ้ง (Evaporator)
  2. เพิ่มอุณหภูมิของความร้อนด้วยการอัด (Compression)
  3. ส่งต่อความร้อนที่อุณหภูมิสูงออกไปใช้งาน (Condenser)

ตัวแปรสำคัญคือ Temperature Lift หรือส่วนต่างอุณหภูมิระหว่าง Evaporator และ Condenser
หาก Temperature Lift มาก → ต้องใช้พลังงานขับเคลื่อนมากขึ้น

หากต้นทุนไฟฟ้าต่ำกว่าเชื้อเพลิง ระบบ Heat Pump จะมีความคุ้มค่าสูง

ประเภทของ Heat Pump ในอุตสาหกรรม

  1. Closed-Cycle Mechanical Heat Pump
    ใช้การอัดกลของสารทำงาน (เช่น refrigerant) ด้วยมอเตอร์หรือเทอร์ไบน์
  2. Open-Cycle Mechanical Vapor Compression (MVC)
    ใช้การอัดไอจากกระบวนการ (เช่น ไอน้ำ) โดยตรง มักใช้ในระบบ Evaporator
  3. Open-Cycle Thermo-compression Heat Pump
    ใช้พลังงานจากไอน้ำแรงดันสูง เพื่อเพิ่มแรงดันของไอแรงดันต่ำผ่าน Jet Ejector
  4. Closed-Cycle Absorption Heat Pump
    ใช้หลักการดูดซึมและเดือดจุดต่าง (เช่น สารละลาย Lithium Bromide/น้ำ) มีข้อดีคือสามารถยกอุณหภูมิได้สูง (200–300°F) และใช้งานร่วมกับระบบทำความเย็นได้

ตารางในเอกสารแสดงตัวอย่างหลากหลาย เช่น:

อุตสาหกรรมการใช้งานประเภท Heat Pump
โรงกลั่นน้ำมันแยกก๊าซ Propane/ButaneMVC, Open Cycle
เคมีภัณฑ์เข้มข้นของสารละลายMVC
กระดาษกู้คืน Flash SteamThermocompression
ไม้อบแห้งไม้Closed-Cycle Mechanical
อาหาร/นม/น้ำผลไม้ระเหยน้ำออกจากผลิตภัณฑ์MVC หรือ Thermocompression
โรงไฟฟ้า/น้ำทะเลระเหยน้ำเค็มMVC
สิ่งทอน้ำร้อนกระบวนการ/ซักล้างClosed-Cycle Mechanical

ตัวอย่างการใช้งานจริง

(1) Lumber Drying (การอบไม้)

  • เดิมใช้ไอน้ำร้อนโดยตรง
  • Heat Pump แบบวงจรปิดนำอากาศชื้นจากเตาอบมาผ่าน Evaporator แล้วให้ความร้อนกลับสู่เตาอบ
  • ช่วยลดการใช้ไอน้ำและพลังงานได้มาก

(2) Evaporation in Sugar Refining

  • ใช้ MVC เพื่ออัดไอระเหยจากน้ำตาลเข้มข้นให้ควบแน่นกลับเป็นพลังงานในการระเหยอีกครั้ง
  • ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าการใช้ไอน้ำหลายขั้น (Multi-Effect Evaporation)

(3) Paper-Dryer Flash-Steam Recovery

  • ใช้ Thermo – compressor เพื่อเพิ่มแรงดันของ Flash Steam จากถังระบายกลับไปใช้ในเครื่องอบกระดาษ
  • ประหยัดพลังงานไอน้ำได้มาก

การประเมินความเหมาะสมและความคุ้มค่า

ขั้นตอนการประเมิน 4 ขั้น

  1. ตรวจสอบว่า Heat Pump เหมาะกับกระบวนการหรือไม่
  2. เลือกประเภทของ Heat Pump ที่เหมาะสม
  3. วิเคราะห์ต้นทุน–ผลประโยชน์เบื้องต้น
  4. ศึกษาความเป็นไปได้เชิงลึก (Feasibility Study)

ปัจจัยเอื้อต่อการติดตั้ง

  • มีแหล่งความร้อนเหลือทิ้งในช่วง 160–220°F
  • กระบวนการทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมง
  • ราคาพลังงานไฟฟ้าต่ำกว่าเชื้อเพลิง
  • ไม่มีผลกระทบต่อระบบผลิตไฟฟ้าในโรงงาน

ปัจจัยไม่เหมาะสม

  • ต้องยกอุณหภูมิสูงกว่า 50°F
  • แหล่งความร้อนมีขนาดเล็กหรือไม่สม่ำเสมอ
  • ค่าไฟสูงมากเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิง
  • เพิ่มภาระบำรุงรักษาอุปกรณ์หมุน

การคำนวณและตัวอย่างประหยัดพลังงาน

ใช้สมการ Coefficient of Performance (COPHP)
COP = \frac{Q_{out}}{W_{in}} = \frac{T_{out}}{T_{out} – T_{in}}

เช่น ถ้า:

ความร้อนที่ต้องใช้ 180°F → 210°F
→ COP จริง ≈ 4.4
จะประหยัดพลังงานความร้อน ~12.9 MMBtu/h โดยใช้ไฟฟ้าเพียง 862 kW
= ประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ $218,000/ปี (เมื่อทำงาน 8,500 ชม./ปี)
แหล่งความร้อน 170°F → 140°F

ต้นทุนและการคืนทุน

  • ระบบ Heat Pump ขนาดอุตสาหกรรมมีต้นทุนประมาณ $50,000–200,000 ต่อ MMBtu ของความร้อนที่ส่งออกได้
  • ระยะเวลาคืนทุนโดยทั่วไป 2–5 ปี
  • ควรออกแบบให้เครื่องทำงานเต็มภาระ (Base load) เพื่อคุ้มค่าที่สุด

แนวทางออกแบบโครงการ

  • ออกแบบขนาดให้เหมาะกับการทำงานต่อเนื่อง
  • ต้องมีระบบสำรอง (Backup) หาก Heat Pump หยุดทำงาน
  • เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น ระบบ Heat Recovery แบบธรรมดา
  • ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ Pinch Technology เพื่อระบุจุดที่สามารถใช้ Heat Pump ได้ดีที่สุด